วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ขั้นของจิตที่เข้าสู่ความว่าง

เทศน์อบรมคณะผ้าป่าท่านพระอาจารย์แบน วัดดอยธรรมเจดีย์

ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒

เวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น.

===ขั้นของจิตที่เข้าสู่ความว่าง===

หลวงตา : มีอะไรท่านแบนจะพูดอะไรก็พูดไปได้เลย มีธุระอะไรมา

ท่านอ.แบน : กระผมกับหมู่คณะ และศรัทธาญาติโยม ต้องการมาฟังพ่อแม่ครูบาอาจารย์พูดครับผม

หลวงตา : บ่ายโมงพอดี มาด้วยความมุ่งหมายอะไรๆก็ว่ามา

ท่านอ.แบน : ความมุ่งหมายมีความประสงค์จะมากราบคารวะพ่อแม่ มีความประสงค์เพียงเท่านี้ครับผม

หลวงตา : เดี๋ยว นี้หูหนวกเข้าไปเรื่อยนะ พูดหูหนวกเข้าไปเรื่อย ตาก็ลึกเข้าไป ฝ้าฟาง มองอะไรก็ไม่ค่อยเห็นแล้วเดี๋ยวนี้ คือมันลึกเข้าไปทุกอย่าง ตาก็ฝ้าฟางลงไป ไม่แจ่มแจ้งเหมือนแต่ก่อน หูก็ลึกเข้าไป หูไม่ดีเหมือนแต่ก่อน ตาหูจมูกลดลง ลิ้นกายลดลงทุกอย่าง สำหรับเป็นการใช้ในอวัยวะ มีจิตเป็นประธาน ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือ บริษัทบริวารใช้ แล้วเครื่องมือเหล่านี้ก็ลดลงทุกวัน แต่จิตพูดตามความสัตย์ความจริงที่มีอยู่กับเจ้าของ จิตนี้ไม่ลด บอกตรงๆ เลย เพราะจิตไม่มีวัย ไม่ลด อบรมให้ดี ขัดถูให้ดีด้วยความพากเพียร มีสติเป็นสำคัญ จิตนี้จะผ่องใสเรื่อยๆๆๆ ผ่องใสจนสง่างาม จนอัศจรรย์ในตัวเอง อัศจรรย์ใจตัวเองมี นี้เคยเป็นมาแล้วนะ

อยู่วัดดอยธรรมเจดีย์เดินจงกรมอยู่ตอนเช้า ตี ๔ เดินจงกรมไปทางอะไรทิศเหนือทิศใต้ อยู่ หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ มันอยู่ทางใต้ๆ เดินได้ยาวละ เดิน นั่นละไปอัศจรรย์ใจตัวเองตรงนั้น มันถึงขั้นของมันขั้นมันว่าง คือจิตนี้เมื่อยังเกาะอยู่ในร่างกาย ร่างกายยังไม่หมดสภาพกับจิตใจที่จะรักจะชังกันมันก็พัวพันกันอยู่ตลอด ต้องได้ใช้สุภะ-อสุภะอะไรตามแต่จะใช้ ที่มันเป็นของคู่เคียงกัน เวลาพิจารณาไปๆ ร่างกายนี้หมดสภาพนะ นี่ละนักภาวนาจะรู้ได้เห็นได้ทุกอย่าง ไม่ต้องถามใคร มันจะเป็นขึ้นจากความรู้ที่เราพิจารณาตามธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้

พอ พิจารณาไปๆ ร่างกายนี้ที่มันหยาบนี้มันก็ควรแก่สุภะ-อสุภะ เช่นให้ไปเยี่ยมป่าช้าป่าอะไรเหล่านี้ มันคู่ควรกันกับร่างกายอยู่ในสภาพนี้กับรูป ทีนี้เวลาละเอียดเข้าไป พิจารณาละเอียดเข้าไปสภาพของร่างกายนี้หมดความหมาย ป่าช้าก็หมดความหมาย จิตว่างไปหมด แล้วไปเยี่ยมป่าช้าที่ไหน มันไม่มี มันก็หมดปัญหาในการเยี่ยมป่าช้า มันเป็นขั้นเป็นตอน จากนั้นจิตก็ว่างไปละทีนี้ มองดูอะไรแพล็บว่างหมดเลย มันเป็นธรรมชาติของจิต ขั้นของจิตที่เข้าสู่ความว่าง ไม่มีคำว่าอสุภะอสุภัง มีแต่อะไรเกิดดับๆ ก็มีทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ไปอย่างนั้น

เรื่องพิจารณาอสุภะไม่อสุภะเช่นไปเยี่ยมป่าช้ามันอยู่ขั้นนี้ จิตมีรักสวยรักงาม ขี้ริ้วขี้เหร่ สวยงาม จิตอยู่ในขั้นนี้ต้องไปเยี่ยมป่าช้า ตายเก่าตายใหม่ท่านสอนไว้หมดนะ คือสมัยก่อนนั้นคงจะไม่เผาไม่ฝังกัน คงจะทิ้งเกลื่อนป่าช้า คนตายเก่าตายใหม่ ท่านให้ไปเยี่ยมป่าช้า จิตอยู่ในขั้นนี้ก็ต้องไปเยี่ยม พอได้ป่าช้าอันนั้นเข้ามาสู่จิตปั๊บป่าช้าอยู่กับเรา ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา อะไร อยู่กับเรามันก็ปล่อยป่าช้าข้างนอกเข้ามาพิจารณาป่าช้าข้างใน จิตหมดสภาพนี้แล้วมันก็ว่าง นั่นละการภาวนา เมื่อมันอยู่ในรูปในนามนี้ก็มีคำว่าสวยงาม ขี้ริ้วขี้เหร่ พิจารณาอสุภะอสุภัง ไปเยี่ยมป่าช้าเป็นต้น

เวลา มันผ่านไปแล้วมันไม่เอานะ พิจารณานี้มันรู้หมดแล้วมันปล่อยๆ ไม่เอาๆ อะไรที่ควรแก่จิตในขั้นนั้นมันก็ก้าวไปตามขั้นนั้น เช่นเกิดดับ ทีนี้พิจารณาว่าอันนั้นสุภะ-อสุภะ อสุภะอสุภังไม่ได้ ไม่ทัน พอเกิดปั๊บดับพร้อมๆ จิตมีแต่ว่างไปหมด นั่นละจิตพิจารณาตามขั้นภาวนาเป็นตอนๆ ทีแรกมันอยู่ในร่างกายเป็นส่วนหยาบ จึงต้องสอนให้พิจารณาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ พิจารณาเข้าข้างนอกข้างใน เทียบข้างนอกข้างใน พออันนี้มันผ่านไปมันหมดปัญหาแล้วมันไม่เอานะ หมด

เหล่า นี้มันก็เข้าเรื่องจิตที่ว่าง อะไรเกิดปั๊บดับพร้อมๆ จิตมันก็ว่างไปหมด ที่มันไม่ว่างก็คือจิต กิเลสยังอยู่นั้นมันยังไม่ว่าง พิจารณาเข้ามาจิตว่างๆ อะไรว่างๆ ตัวจิตยังไม่ว่าง ย้อนเข้ามาพิจารณาตัวจิตจนจิตว่างเหมือนกันหมด วางเหมือนกันหมด ปล่อยหมดเลย นั่น ท่านว่าสิ้นสุดแล้วในการพิจารณาภาวนา นักภาวนาพิจารณาอย่างนี้แหละ คือไม่ถามกัน พอพูดไปปั๊บมันยอมรับๆ เพราะมันไปด้วยกัน เห็นด้วยกัน รู้อย่างเดียวกัน ไม่สงสัยกัน มันก็รู้ไปเลย ใครรู้ที่ไหนไม่ต้องไปถามใคร แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม เพราะธรรมอันเดียวกัน ท่านสอนอย่างเดียวกัน ให้รู้อย่างเดียวกัน เมื่อมันรู้อย่างเดียวกันแล้วหายสงสัยซึ่งกันและกัน หมดทั้งท่านทั้งเรา พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ไม่สงสัย มันเหมือนกันหมด มีอันเดียว

นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่ มีคำว่ายิ่งว่าหย่อนกว่ากัน จิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วเป็นเหมือนกันหมด ท่านบอกอย่างนั้น ท่านสอนไว้หมดแล้ว แต่เวลาจิตพิจารณามันยังไม่ถึงมันก็งมเงาเกาหมัดไป พอไปถึงแล้วจับปั๊บๆ ทีนี้มันก็ออกเป็นอันเดียวกัน สว่างจ้าไปเลย นั่นอย่างนั้นละนักภาวนา เมื่อมันถึงขั้นสิ้นสุดแล้วทุกอย่างก็ปล่อยหมด ว่าภาวนาหาอะไร แน่ะ จิตนั่นเองเป็นตัวหิวโหย เมื่อจิตรู้จิตเห็นจิตเข้าใจทุกอย่างพอตัวแล้วจิตก็ไม่พิจารณา อยู่ตามสภาพของธรรม กลายเป็นเรื่องธรรมธาตุไปหมด จิตเวลารู้เต็มที่แล้วเป็นธรรมธาตุนะ ไม่ได้มีอะไรเป็นอะไรที่จะมาพิจารณาเพื่อแก้ไขตัวเอง ไม่มี หมด อันนี้ก็ธรรมธาตุไปหมดเลย

นั่น ละการภาวนา ท่านภาวนาอยู่ในป่าในเขาเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครรู้ มีแต่พระพุทธเจ้ารู้สอนไว้ สอนเป็นแนวทางไว้เราก็เดินไปตาม แต่ส่วนมากมันแหวกแนวๆ มันไม่ไปตรงตามแนวทางที่พระองค์สอนไว้ว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว การพิจารณามันไม่ชอบ มันหลีกนู้นหลีกนี้ มันถึงไม่เจอธรรมของจริง ถ้ามันตรงไปตามพระพุทธเจ้าที่ว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว นี้ก็รู้ชอบแล้วเข้ากันได้เลย นี่ละการพิจารณาภาวนา

เมื่อ มันถึงนั้นแล้วพระพุทธเจ้าเป็นปัจจุบันหมด ไม่ว่ากี่พระองค์เหมือนกันหมดเลย ไม่ทูลถาม พระพุทธเจ้าพระองค์นี้เป็นอย่างไร องค์นั้นเป็นอย่างไร ธรรมชาติอันนี้มันเหมือนกันหมด เป็นอันเดียวกัน นั่นละทีนี้ไม่ถามใคร พระพุทธเจ้า-สาวกบรรดาท่านผู้บริสุทธิ์แล้วแบบเดียวกันหมดเลย ไม่ต้องถามกัน ให้ท่านทั้งหลายเข้าใจกันเสีย

การ ภาวนามีจุดหมายปลายทาง มีข้อเปรียบเทียบเข้าใจกันแล้วก็ปล่อยๆ อย่างนั้นเรียกว่าภาวนา เมื่อมันหมดสภาพทุกอย่างแล้วจิตนี้ก็กลายเป็นธรรมธาตุไปเลย ไม่มีว่าภาวนาหาอะไรๆ จิตตัวภาวนานี้ตัวมันหิวโหยมันยังไม่พอ พอตัวนี้พอแล้วก็ปล่อยไปหมดเลย ไม่มีอะไรที่จะติดข้างภายในใจ เรียกว่าจิตเป็นธรรมธาตุ ในธาตุในขันธ์ขันธ์ห้านี่แหละ แต่จิตเป็นธรรมธาตุอยู่ในนั้นบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว พอหมดสภาพแล้วสลัดปั๊วะไปเลย เป็นธรรมธาตุไปเลยทีเดียว นั่นการภาวนามีความมุ่งหมายอย่างนั้น

ที่ พูดเหล่านี้พยามยามเดินไต่เต้าตามพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนไว้นะ เข้าป่าเข้าเขาฝึกหัดภาวนาอยู่ในถ้ำในเหวที่ไหนก็ไปละ เพื่อฝึกหัดจิตนี้ให้มันฉลาดในตัวเอง จิตนี้รู้ในทั้งหลายรู้แต่มาโง่ในตัวเอง นี่สำคัญตรงนี้ เพราะอย่างนั้นจิตจึงต้องฝึกสอนเพื่อให้ตัวเองฉลาดกับสิ่งทั้งหลายที่มา เกี่ยวข้อง เขาอยู่อย่างนั้นตามเรื่องของเขา ตัวหากดื้อหากด้านหาญคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้เอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเอง ทีนี้เมื่อรู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามสภาพที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วมันก็ปล่อยๆ ปล่อยก็ต่างอันต่างจริงไปหมด สบาย นั่นละภาวนา

เมื่อ ถึงขั้นสุดยอดของการภาวนาแล้วหมด ภาวนาหาอะไร เท่านั้นพอ นี่ละนักภาวนา ถึงที่สุดของจิต จิตเป็นวิมุตติหลุดพ้นแล้วผ่านหมดเลย ขั้นสมมุติไม่มีเหลือ เป็นวิมุตติจิตไปหมด วิมุตติธรรมภายในจิตใจ นิพพานเที่ยง ดูเอา อันเดียวกัน วิมุตติธรรม-วิมุตติจิต-นิพพานเที่ยงอยู่อันเดียวกัน เป็นไวพจน์ของกัน ใช้แทนกันได้ทั้งนั้น นั่นละจิตไปถึงจุดนั้นแล้วหายสงสัย ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนจะไปอย่างไร ก้าวหน้าก็ไม่ก้าว ถอยหลังก็ไม่ถอย อยู่ปัจจุบันในความพอแล้ว เรียกว่าจิตเป็นธรรมธาตุแล้ว นั่นละตรงนั้นละตรงที่จิตอยู่ หรือเป็นธรรมธาตุอยู่ นิพพานอยู่ตรงนั้นละ จะไปคาดนิพพานอยู่ตรงไหนๆไม่ได้ ดูดวงจิตอันนี้แล้วมันเข้ากันได้หมดเลย

จตุปัจจัย ที่บรรดาพี่น้องทั้งหลายบริจาคนี้เป็นประโยชน์แก่โลกล้วนๆนะ ไม่มีที่จะเข้าในวัดนี้ไม่มี ออกหมดเลย ส่วนไหนจำเป็นอย่างไรๆๆออกไปตาม ความจำเป็น ช่วยเหลือกันไปหมดนะ เวลานี้ก็กำลังตึกโรงพยาบาลอุดรนั้นเท่าไรก็มาอยู่ในหัวอกเรานี้ละ พอตึกเสร็จไปเรียบร้อยแล้วเขาว่าประมาณ ๒๐๐ ล้าน แล้วเครื่องมือแพทย์เวชภัณฑ์จะเข้ามากกว่านี้นะ จึงกะไว้ว่าต้อง ๕๐๐ ล้านจะพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ตอนที่เวชภัณฑ์เข้ามามีแต่ราคาแพงๆ

ตึก นี้เกิดขึ้นจากอิฐปูนหินทรายเหล็กหลาไปเป็นตึกอยู่เท่านั้น ราคาเท่านั้นเท่าที่เขากำหนดไว้ แต่เครื่องเวชภัณฑ์นี้มีแต่ของดีๆ พวกหยูกพวกยาเครื่องเวชภัณฑ์ที่จะมารักษาเข้าในนี้ราคาแพงๆ อันนี้จะแพงมาก เพราะอย่างนั้นเราจึงกำหนดไว้ว่า ๒๐๐ ล้านนี้ไม่พอ ถ้าว่าเป็น ๕๐๐ ล้านจะพอฟัดพอเหวี่ยงกัน เราว่าไม่ผิดเป็นตามนั้นละ อันนี้อยู่ในหัวอกของเรา อะไรบกพร่องๆที่จะเข้าในตึกหลังนี้นะเป็นพวกเวชภัณฑ์เราจะสั่งให้หามา หรือเขาเสนอมาว่าอะไรขัดข้อง ยังบกพร่องอะไร ยังขาดอะไร เราก็จะพิจารณาแล้วจะสั่งตามนั้นๆ

ช่วย โลกช่วยอย่างนั้นละ สำหรับช่วยเราก็ช่วยมาเต็มกำลังความสามารถแล้ว ช่วยตั้งแต่วัดบวชมา วันบวชมาการศึกษาเล่าเรียนก็ธรรมดาท่านๆ เราๆนะ แต่เวลาออกปฏิบัติเพื่อจะกำจัดกิเลสให้สิ้นซากภายในหัวใจนี้เอาจริงมาก เอาให้ขาดสะบั้นไปเลย กิเลสไม่ขาดเราขาด กิเลสไม่ตายเราตาย ซัดกันตรงนี้หนักมากนะ พอปัญหาอันนี้ขาดไปแล้วก็โล่งว่างหมดเลย ฟังซิน่ะ นี่ขาดแล้วนี่ หมดแล้ว ว่างหมด ไม่มีอะไรสงสัยในโลก หายสงสัยแล้ว โลกนี้จะมาเกิดอีกหรือไม่ จะเกิดอีกกี่ภพกี่ชาติรู้หมดอยู่ในใจนี้ เท่านั้นละไม่พูดมาก ให้พากันเข้าใจเอานะ

คณะ อาจารย์แบน วัดดอยธรรมเจดีย์ รวมทางนั้นทางนี้บ้างเข้ากัน ได้สมบัติอันมีค่ามาก เป็นหัวใจแห่งชาติไทยเราคือได้ทองคำ ๗ บาท ๙๗ สตางค์ เงินได้ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท เอาสาธุ นี่ละที่จะเข้าสู่คลังหลวงของเรา ทองคำ ๗ บาท ๙๗ สตางค์ เข้าคลังหลวงหมดเลย ส่วนเงินบาทนี้จะแยกไปช่วยในบ้านเมืองของเรานั่นแหละ เข้าคลังหลวงก็มี จะแยกออกไปช่วยอื่นๆก็มี ให้พากันเข้าใจตามนี้นะ หมดปัญหาอันนี้หมดแล้ว ทองคำ ๗ บาท ๙๗ สตางค์นะวันนี้ คณะอาจารย์แบนมาทอดผ้าป่าถวาย รวมลงที่วัดป่าบ้านตาด ทองคำ ๗ บาท ๙๗ สตางค์ เงินสด ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท เท่านั้นละ

เราเป็นศูนย์กลางรับสมบัติเหล่านี้ไว้เพื่อกระจายไปสู่ส่วนรวมในการทำประโยชน์ ไม่ให้อยู่นี้ ไม่อยู่ ออกหมดเลย



รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM103.25 MHz

พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ