วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ZHULIAN = ซูเลียน


ซูเลียน ไทยแลนด์ ZHULIAN

มีโอกาสได้เจอท่านประธานกรรมการ บริษัท ซูเลียนประเทศไทย

ดร. ปิยะวัชร์ บุญยืนยงสกุล

i water = Japin


I water
i water น้ำาดื่มอัจฉริยะ
หนังสือ Water for Life (บทที่ 10)ศ.ดร.นพ. สมศักดิ์ วรคามิน
อดีต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นักวิจัยดีเด่น สภาวิจัยแห่งชาติ และปลัดกระทรวงสาธารณสุข

แนวความคิดเรื่องน้ำพลังแม่เหล็ก i water น้ำดื่มอัจฉริยะ (Conception of Magmetized Water )
ในทางทฤษฎีน้ำพลังแม่เหล็ก i water น้ำดื่มอัจฉริยะ หมายถึงน้ำที่ได้รับผลกระทบทางฟิสิกส์จากพลังงานแม่เหล็ก i water น้ำดื่มอัจฉริยะ เกิดการปรับตัวของโครงสร้างโมเลกุลของน้ำขึ้นใหม่ โดยการจับกลุ่มที่มีขนาดเล็กลง คือ จากเคยมีถึง 30 โมเลกุลต่อกลุ่ม แตกออกมาเป็น 6 โมเลกุลของน้ำ ( H2O) ต่อ 1 กลุ่มเท่านั้นน้ำที่มีโมเลกุลเล็ก อันเกิดจากอิทธิพลของคลื่นแม่เหล็กนี้ จะมีคุณสมบัติของน้ำที่ดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพมีความเข้าใจที่ผิด ๆ ว่า น้ำจะมีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็ก ( Magnetic Water ) ได้ เมื่อถูกนำไปอาบในสนามแม่เหล็กแรง ๆ ( Strong Magnetic Field ) น้ำจะไม่สามารถเป็นแม่เหล็กและไม่อาจมีคุณสมบัติของแม่เหล็ก( Viscosity ) เพราะน้ำไม่มีโลหะเหล็กอยู่ในองค์ประกอบในอดีต ใครก็ตาม ถ้าพูดถึงน้ำพลังแม่เหล็ก i water น้ำดื่มอัจฉริยะ ( Magnetized Water ) ถือว่าเป็นคนมีอาชีพหลอกลวง ( Quackery )

ความรู้เรื่องประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็ก i water น้ำดื่มอัจฉริยะ (Magnetized Water ) กว่าจะเป็นที่ยอมรับฟังในสังคม นักวิทยาศาสตร์ได้ ก็ต้องใช้เวลาอยู่นาน อย่างนั้นแพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังมองว่า การใช้คุณสมบัติของแม่เหล็ก ( Magnetism) เพื่อการรักษาโรคเป็นเรื่องที่หลอกลวง ( Quackery ) เป็นเรื่องไม่จริง จุดเปลี่ยนที่ทำให้สังคมยอมรับเรื่องพลังแม่เหล็ก คือ รางวัลโนเบลทางการแพทย์ในปี ค.ศ. 2003 ในผลงานการคิดค้นเครื่องถ่าย(สร้าง) ภาพ MRI (Magnetic Resonance Image )

คณะกรรมการโนเบล ได้มอบ The 2003 Nobel Prize in Medicine ( รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ พ.ศ. 2546 ให้ ท่านเซอร์ ปีเตอร์ แมนฟิว นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม โดยเป็นรางวัลร่วมกับ ดร.พอล ลอเทอเบอ นักเคมีชาวอเมริกัน จากมหาวิทยาลัยอินลินอยสำหรับการคันพบวิธีสร้างภาพในโมเลกุลน้ำอันเกิดจาก คลื่นแม่เหล็กเป็นหลักทำให้นำไปประดิษฐ์เครื่องมือใช้สำหรับตรวจโรคที่ดียอด เยี่ยมทางการแพทย์ ชื่อ เอ็ม อาร์ ไอ (MRI – Magnetic Resonance Image) ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า เครื่องเอกซเรย์ ( X – Ray ) และเครื่องถ่ายภาพ ซี ที สแกน ( CT Scanner)

การที่คณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาทางการแพทย์ในปี ค.ศ. 2003ยอมรับว่า พลังแม่เหล็กเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของมนุษย์โดยการสั่น สะเทือนของโมเลกุลไฮโดรเจนในน้ำที่ได้รับคลื่นแม่เหล็ก จึงเป็นจุดเปลี่ยน (Turning Point ) ทางด้านความคิดที่สำคัญต่อกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่เคยคัดค้าน ที่มาของพลังแม่เหล็ก i water น้ำดื่มอัจฉริยะ (Magnetic Energy)

1) น้ำที่อยู่ตามธรรมชาติ จะได้รับพลังงานแม่เหล็ก รวม 3 ทางคือ

1.1 Material Magnetism เป็นเส้นแรงแม่เหล็ก จากขั้วโลกเหนือไปขั้วโลก ใต้ สนามแม่เหล็กนี้คลุมโลกไว้ทั้งใบ
1.2 Gravitational Magnetism หมายถึงแรงดึงดูดของโลก
1.3 Planetary Magnetismคือพลังแม่เหล็กของจักรวาลซึ่งแรงที่สุดเพราะเห็นได้จากสามารถยึด ดาวต่างๆให้อยู่ในระเบียบถ้าไม่มีพลังนี้ดึงไว้โลกคงจะหมุนกระเด็นออกไปจาก วงโคจรของสุริยะจักรวาล

2)น้ำจากเครื่องกรองน้ำ เครื่องกรองน้ำประเภทที่มีพลังแม่เหล็กที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ นอกจากมีตัวกรอง (Filter) แล้ว เช่น ไส้กรองเซรามิค ไส้กรองคาร์บอน แบบต่าง ๆ แล้ว จะต้องมีแท่งแม่เหล็ก (Magnetic Disc)ใส่ไว้ด้วยเครื่องกรองน้ำประเภทนี้บางชนิดอาจจะมีแม่เหล็กไว้บริเวณท่อ น้ำไหลออก หรือก๊อกน้ำ และบางชนิดอาจมีลักษณะเป็นก้อนกลมตรงกลางเป็นรูกลวงเหมือนขนมโดนัท วางอยู่ใต้ฐานเครื่อง บริษัทผู้ผลิตเครื่องกรองน้ำใช้ชิ้นแม่เหล็กความแรงประมาณ 4,000 Gausses แต่ถ้าใช้ขนาด 10,000 Gausses จะทำให้น้ำที่เพียงไหลผ่านก็ได้รับพลังงานกลายเป็น Magnetized Water (น้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็ก) หรือถ้าเรียกอย่างถูกต้องก็คือ Magnetic Treatment Water

คุณสมบัติของน้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็กจากสนามแม่เหล็ก ประกอบด้วย

1. การเกาะกันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก คือ 6 โมเลกุลของน้ำ (H2O) ต่อ 1 กลุ่ม (Micro cluster) แทนที่จะเป็น 30-40 โมเลกุลต่อ 1 กลุ่ม (Macro cluster หรือ Bound Water) ทำให้มันสามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งเข้าไปและออกมาจากเซลล์ได้รวดเร็ว เมื่อเข้าไปก็จะนำสารอาหาร ออกซิเจน เอนไซม์ เกลือแร่ต่าง ๆ เพื่อให้เซลล์ได้ใช้ และเมื่อออกมาก็จะพาสารพิษ ของเสียจากการเมตาบอลิซึม (Metabolism) ซึ่งเรียก Metabolic Waste เพื่อนำไปทิ้ง ผลก็คือ เซลล์สดใส แข็งแรง มีกำลังทำลายสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายไม่ต้องการได้ง่าย และที่สำคัญ เซลล์ชะลอความแก่

2. การมีแรงตึงผิวต่ำ (Less Surface Tension)

ก. ทำให้กลายเป็นน้ำที่มีคุณสมบัติเป็นตัวทำละลาย (Solvent) สิ่งต่างๆ ได้ดี สารอาหารทั้งหลายที่ละลายอยู่ในเลือดที่ประกอบด้วยน้ำถึง 92 เปอร์เซ็นต์ ก็จะถูกพาเข้าไปในเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ความสำคัญต่อชีวิต คือ มีออกซิเจนละลายอยู่ด้วยอย่างเพียงพอ
ข. แรงตึงผิวต่ำ ทำให้ความหนืดหรือความข้น (Viscosity) ของเลือดลดลง ประกอบกับน้ำในเลือดเป็นกลุ่มที่มีโครงสร้างขนาดเล็ก และเป็นระเบียบ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกลุ่ม ( Cluster) เพิ่มมากพอที่จะมีเนื้อที่ได้ขยับขยายไม่เบียดกัน เลือดไหลเวียนง่าย (โดยปกติ โลหิตมนุษย์จะข้นเป็น 4 เท่าของน้ำ ถ้าข้นมากกว่านี้จะถ่ายเทไม่สะดวกเพราะความหนืด ) อาการขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เช่นที่สมองจะทุเลาขึ้น ความดันโลหิตก็ไม่สูงและหัวใจไม่จำเป็นต้องบีบตัวมาก

3. การมีคุณสมบัติเป็นด่าง (Promote more Alkaline pH in the Body)
ก. ร่างกายมนุษย์ (ยกวันกระเพราะอาหาร และไต) จะมีค่าเป็นด่าง (pH 7.4) จึงช่วยทำลายขยะของเสียที่มีฤทธิ์เป็นกรดภายในเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆอวัยวะในร่างกายต้องอยู่ในสภาวะเป็นด่างแต่ทำงานในลักษณะเป็นกรดการย่อย อาหารทุกชนิดและทุกครั้งจะก่อ
ให้เกิดขยะของเสีย ที่เป็นกรดสะสม การมีสภาวะกรดสูงในเลือด ถ้าไม่มีน้ำดื่มที่เป็นด่างมาช่วยทำปฏิกิริยาต่อต้าน (Buffer)เอาไว้ก็จะทำให้ร่างกายจำเป็นต้องไปดึงเอาเกลือแร่แคลเซียมและ แมกนีเซียมออกมาจากเนื้อของกระดูก ฟัน และกล้ามเนื้อ เพื่อมาล้าง (Buffer) ความเป็นกรด อันเกิดจากขยะของเสีย ( Acidic Waste) ในร่างกาย หรือเกิดมาจากมลภาวะต่าง ๆ

ข. สภาวะเป็นด่างอันเนื่องมาจากไฮดรอกซิลไอออน(HydroxylIon) ซึ่งมาจากการแตกตัวเป็นไอออน (Ionization) ของน้ำ โดยอิทธิพลจากพลังแม่เหล็ก ผลที่ได้ตามมาคือ มีออกซิเจนเกิดขึ้นจำนวนมากและส่วนใหญ่จะละลายโดยทันทีอยู่ในน้ำนั้นจะเห็น ได้โดยถ้าเอาน้ำดังกล่าวมาใส่ทิ้งไว้ในขวดแก้วที่ปิดสนิทจะเกิดมีพรายน้ำ เม็ดเล็กๆแพรวพราวเต็มไปหมดเกาะอยู่ด้านในขวดจนอาจกล่าวว่าถ้าน้ำเป็นด่างจะ มีออกซิแจนละลายอยู่เสมอน้ำบริสุทธิ์อย่างน้ำกลั่น จะเป็นกรดอ่อน ๆ เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากอากาศละลายเกิดเป็นกรดคาร์บอนิก

ออกซิเจนนี้นอกจากให้พลังงานกับเซลล์ทำให้เซลล์แข็งแรงออกซิเจนยังช่วยทำให้ เชื้อจุลินทรีย์อันตรายประเภทไม่ชอบอากาศ (Anaerobic Bacteria) เกิดไม่ได้ หรือหยุดเจริญในที่มีออกซิเจน การไม่แบ่งตัวทำให้แบคทีเรียมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้

จากผลการวิจัย ของ ดร. Otto Warburg ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ใน ค.ศ. 1931 ที่พบว่า โรคมะเร็งชอบอยู่ในที่ไม่มีออกซิเจน ดังนั้นถ้าอวัยวะต่างๆ ได้รับออกซิเจนอย่างสมบูรณ์จากน้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็ก (Magnetized Water) ตามทฤษฎี โรคมะเร็งไม่ควรจะเจริญงอกงามที่อวัยวะนั้น ๆ

การได้รับรางวัลโนเบล ถือว่าเป็นคนเก่งของโลก ดร. Otto Warburg ผู้นี้ได้รางวัลโนเบลถึงสองครั้ง จึงถือว่าไม่ธรรมดา

ค. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อันเกิดจากออกซิเจนไอออน ให้อิเลคตรอน ประจุลบ ไปตัดวงจรของการเกิดอนุมูลอิสระ (Free Radical Cycle) ซึ่งเป็นตัวทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้ป้องกันโรคความเสื่อมต่าง ๆ (Degenerative Disease) เช่น โรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคเบาหวาน เป็นต้น

ประโยชน์ของน้ำพลังแม่เหล็ก i water น้ำดื่มอัจฉริยะ (Magnetic Treatment Water )

1. ป้องกันโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)

เพราะ คุณสมบัติที่เป็นด่างของน้ำดังกล่าวยู่แล้ว ทำให้ร่างกายไม่ต้องเสียเวลาเพื่อดึง แมกนีเซียม และแคลเซียมออกมาจากกระดูกไปเป็น Buffer กับกรดในร่างกาย จนทำให้เนื้อกระดูก (Bone Mass) ละลายออกมาเป็นหย่อม ๆ เกิดรูพรุน บาง ความแน่นของกระดูก (Bone Density) ลดลง นอกจากนี้ยังป้องกันไม่ให้ฟันผุอีกด้วย (Bone Caries) เพราะผิวฟันชั้นนอก (Enamel) ไม่ต้องสูญเสียแมกนีเซียม และแคลเซียม

2. ป้องกันโรคหัวใจ ( Heart Disease ) ในชีวิตประจำวัน ร่างกายจะสร้างความเป็นกรดอยู่เกือบตลอดเวลาจากระบบเมตาบอลิซั่ม (Metabolism) จากมลภาวะ (Pollution) และจากกินอาหารโปรตีนสูง (High Protein Diet ) ทำให้ต้องดึงแมกนีเซียมกับแคลเซียมออกจากกระดูก และบางครั้งจากเซลล์กล้ามเนื้อของหัวใจมาคอยผสมเพื่อให้ค่าความเป็นกรดด่าง ของร่างกายกลับมาสมดุลที่ pH 7.4 ตลอดเวลา (ค่า pH ในเลือด ร่างกายจะยอมให้อยู่ระหว่า pH 7.35-7.45 น้อยไปหรือมากไปกว่านี้จะทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายผิดปกติ แต่โอกาสที่จะเกิน 7.45 แทบไม่มีเลย นอกจากการใช้ยาผิด แมกนีเซียม (Magnesium) จำเป็นที่สุดในการสร้างพลังงานระดับเซลล์ (Cellular Energy) และยังทำให้สารพลังงาน เอ ที พี ( Adenosine Triphosphate หรือ ATP ) แตกตัวมาเป็นสาร เอ ดี พี (Adenosine Diphosphate ) บริเวณไมโตคอนเดรีย ( Mitochondria อยู่ภายในเนื้อเซลล์ Cytoplasm) จึงเกิดพลังงานขึ้นเพื่อให้เซลล์นำไปใช้ทำงานต่อไป การที่แมกนีเซียมถูกดึงมาจากเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่มีเสริมกลับเข้าไป เป็นผลให้เมื่อถึงจุดหนึ่ง ( Last Straw ) แมกนีเซียมที่อยู่ในเซลล์ไม่พอไปสร้างพลังงาน เอ ที พี เซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจจะหยุดทำงานเพราะขาดเชื้อเพลิง และหัวใจจะหยุดเต้น


3. ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด (Ischemia) เมื่อความเหนียวและความข้นของเลือด ลดลงและโมเลกุลของน้ำที่ประกอบเป็นกลุ่มเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบจึงทำให้ เลือดไหลเวียนได้สะดวก ปริมาณมากขึ้นนอกจากนี้น้ำในเลือดที่มาหล่อเลี้ยงเซลล์ยังมีสารอาหาร เอนไซม์ และออกซิเจนละลายอยู่อย่างเพียงพออีกด้วย เนื่องจากแรงตึงผิวของน้ำในเลือดต่ำ ทั้งยังสามารถซึมเข้าเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ได้โดยง่าย

4. ร่างกายแข็งแรง และมีภูมิต้านทานโรคสูงขึ้นเลือดซึ่งใช้น้ำเป็นองค์ประกอบถึง 92 เปอร์เซ็นต์ น้ำที่ดีจึงสามารถพาสารอาหาร เอนไซม์ ฮอร์โมน และออกซิเจน มาให้กับเซลล์ต่าง ๆ อย่างพอเพียง การไหลเวียน (Blood Circulation) ก็สะดวก เซลล์จะแก่ช้าลง การต้านทานโรคเข้มแข็ง แผลหรือการอักเสบหายเร็วขึ้น ยาปฏิชีวนะสามารถถูกดูดซึมเข้าเซลล์ต่าง ๆ พร้อมกับน้ำโครงสร้างเล็กได้ ยาเข้าไปปริมาณสูงกว่าน้ำชนิดอื่น ก่อทั้งประโยชน์และเกิดประสิทธิภาพที่จะหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ จุลินทรีย์ได้อย่างแน่นอนในกรณีที่เป็นแบคทีเรียชนิดที่ไม่ชอบอยู่ใน ออกซิเจน ซึ่งมักอันตรายต่อมนุษย์ ก็จะหยุดแบ่งตัวและอ่อนแอลง เพราะน้ำพลังแม่เหล็กมีออกซิเจนละลายอยู่สูงทำให้สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะกับ เชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่ชอบอากาศจะแพร่พันธุ์ต่อไป

5. น้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็ก จะมีรสอร่อย และแก้กระหายน้ำได้เร็ว การที่น้ำมีรสดี เพราะการมีโครงสร้างขนาดเล็ก ต่อมรับรสที่โคนลิ้นรับสัมผัสได้ง่าย เป็นการถูกกระตุ้น สร้างความพอใจแปรสัญญาณที่ออกมาในทางรสดี น้ำที่โครงสร้างขนาดเล็กยังสามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ เข้าเซลล์ของร่างกายได้ง่าย เมื่อเวลาหิวน้ำ ถ้าดื่มน้ำพลังแม่เหล็ก จะแก้กระหายได้เร็วว่าดื่มน้ำชนิดอื่น ทำให้รู้สึกสดชื่นและชุ่มมากกว่าอีกด้วย

6. ป้องกันโรคปวดข้อ (Arthritis) โรคเก๊าท์ (Gout) และโรคนิ่วในไต(Kidney Stone) เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นด่าง ทำให้ผลึกของกรดชนิดต่างๆ ไม่จับตัว อาทิเช่น กรดยูริค (Uric Acid ) , กรดออกซาลิก (OxalicAcid)ความเป็นด่างของน้ำพลังแม่เหล็กจะไปทำให้สารต่างๆที่ออกฤทธิ์ เป็นกรดทั้งหลายหมดสภาพ กรดยูริคบริเวณข้อ (Joint) ละลาย ไม่ก่อตัวเป็นผลึกที่แหลมคมฝังตามข้อต่าง ๆ อีกต่อไป ความเจ็บของโรคเก๊าท์ อันเกิดจากผลึกแหลม ๆ แทงเนื้อเยื่อก็จะทุเลาลง

7. ป้องกันโรคแห่งความเสื่อมเรื้อรัง (Chronic Degenerative Disease)โรคแห่งความเสื่อมที่สำคัญ คือ โรคมะเร็ง (Carcinoma) ซึ่งขออธิบายพยาธิสภาพของมันอย่างง่าย ๆ ดังนี้

อนุมูลอิสระ (Free Radical) ที่เกิดขึ้นจากสาเหตุต่าง ๆ ไป ทำให้เซลล์ปกติถูกทำลายโดยปฏิกิริยาห่วงโซ่ โดยโมเลกุลในเซลล์จะถูกแย่งอีเลคตรอน ประจุลบ เคยมีอยู่ออกไป ทำให้ตัวมันเองขาดอีเลคตรอนกลายเป็นอนุมูลอิสระตัวใหม่ ซึ่งไม่เสถียร ของปฏิกิริยาห่วงโซ่ อีเลคตรอน ที่แยกตัวออกไปนี้จะปล่อยพลังงานให้เป็นอิสระ(ซึ่งเคยใช้ยึดอีเลคตรอน ไว้)หลุดออกมาจากโมเลกุลและร่างกายควบคุมไม่ได้ พลังงานนี้จึงเที่ยวอาละวาดทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ใกล้เคียง จนเยื่อหุ้มเซลล์เสียหาย ทำหน้าที่ไม่ได้ตามปกติอาจจะเป็นรู เกิดความพิการ เกลือแร่ภายในเนื้อเซลล์ (Cytoplasm) จะมีสัดส่วนทางเคมีผิดปกติ เพราะมีการรั่วของบางเกลือแร่เช่น โปรแตสเซียม ผ่านออกมาจากเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้ดี เอน เอ (DNA) ในนิวเคลียส (Nucleus) บิดเบี้ยว แบ่งตัวเพี้ยนตามไปด้วย เกิดเป็นเซลล์พิกลพิการชนิดใหม่เรียกว่า เซลล์มะเร็งการเกิดอนุมูลอิสระที่พบมากคือสาเหตุมาจากรังสีต่างๆและที่ขาด ความสนใจเพราะประมาทแต่อันตรายใหญ่หลวง คือ รังสีเอ็กซ์ (X-Ray) การถ่ายเอ็กซ์เรย์หน้าอก รังสีผ่านร่างกายเพียงวินาทีเดียว อีเลคตรอน กระเด็นหลุดออกมานับล้านตัว พลังงานที่อีเลคตรอน เคยใช้วิ่งรอบโปรตอน(Proton) เปลี่ยนออกมาเป็นพลังงานอิสระที่ไม่มีผู้ใดควบคุมได้ เกิดเซลล์อนุมูลอิสระเป็นล้านเซลล์ นี่คือ ต้นเหตุของโรคมะเร็งโดยเฉพาะเซลล์ของเต้านมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงง่ายยิ่งถ้า อายุมากขึ้นความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระจะไม่พอเพียง เช่นวัยหนุ่มสาว

น้ำที่มีค่าโออาร์พีเป็นลบ (ORP-)

Oxidation Reduction Potential หรือ ORP คือค่าความเข็มข้นของอิเลคตรอนในน้ำ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเพิ่มออกซิเจน(Oxidation)กับกระบวนการลด ออกซิเจน(Reduction)

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ไปบิณฑบาต ภิกขาจาร





ไปบิณฑบาต.......ภิกขาจาร ทางน้ำ

น้ำท่วม ถนนทางเข้าวัด





น้ำท่วม ถนนทางเข้าวัด กินพื้นที่ประมาณ 50 เมตร

น้ำขึ้น น้ำมาก



น้ำขึ้น น้ำมาก ที่สะพานท่าเรือ

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ต่อเติมหน้าศาลา






ต่อเติมหน้าศาลา กันแดด กันร้อน กันฝนด้วย

ความคืบหน้าของการสร้างแท็งค์น้ำ






ความคืบหน้าของการสร้างแท็งค์น้ำ

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เิริ่มทำแท็งค์เก็บน้ำ





เิริ่มทำแท็งค์เก็บน้ำ

โดยการเริ่มตัดต้นไม้บางส่วนออก ตีฝัง ขุดหลุม

สร้างสะพานจอดเรือเสร็จแล้ว






การสร้างสะพานและที่จอดเรือหน้าสำนักสงฆ์สำเร็จเสร็จแล้ว