วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

บัญชี กองทุนซื้อที่ดินถวายสำนักสงฆ์ขันติอุดมธรรม



อัปเดต สมุดเริ่มแรกโดย
01 ศาสตราจารย์ ทันตแพทย์ ดร.อะนัฆ เอี่ยมอรุณ 10,000 บาท

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

บัญชีธนาคารกสิกร แบบชัด ๆ กว่าเดิม





ธนาคาร กสิกรไทย สาขา เซ็นทรัลแอร์พอร์ต เชียงใหม่

เลขที่บัญชี 457-2-29851-0

ชื่อบัญชี กองทุน ซื้อที่ดินถวายสำนักสงฆ์ขันติอุดมธรรม

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

ร่ำไห้อาลัยหลวงตา หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ร่ำไห้อาลัยหลวงตา โดย เพลิน พรหมแดน

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554

บัญชี.....ซื้อที่ดินสร้างวัด





ข้อความในEmail ของหมออะนัฆ ที่ส่งมาดังนี้

กราบเรียนศรัทธา ญาติโยมทั้งหลาย

บัดนี้ทางสำนักสงฆ์ขันติอุดมธรรมได้เปิดบัญชี


ธนาคารกสิกรไทย สาขา เซ็นทรัลแอร์พอร์ต เชียงใหม่

เลขที่ 457-2-29851-0

ชื่อ กองทุน ซื้อที่ดินถวายสำนักสงฆ์ขันติอุดมธรรม




ท่านสามารถทำบุญบริจาคมาที่กองทุนนี้ได้แล้วครับ

ขออนุโมทนากุศลจิตกับทุกๆท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ศาสตราจารย์ ทันตแพทย์ ดร.อะนัฆ เอี่ยมอรุณ 081 287 7689


-----------------------------------------------------------------------------------------

สาธุ..ขออนุโมทนา ศรัทธาญาติโยมท่านใดที่มีความประสงค์จะร่วมทำบุญด้วย หรือ ได้ทำการโอนปัจจัยแล้ว
กรุณาแจ้งให้ทางวัดทราบด้วย หรือจะแจ้งที่ ศาสตราจารย์ ทันตแพทย์ ดร.อะนัฆ เอี่ยมอรุณ 081 287 7689 ก็ได้
ทางวัดจะได้อัปเดตสมุดบัญชีธนาคารให้ทราบอยู่เรื่อย ๆ

1.ศาสตราจารย์ ทันตแพทย์ ดร.อะนัฆ เอี่ยมอรุณ บริจาค 10,000 บาท 13มีค.54

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

รายนามผู้มีจิตศรัทธาถวายปัจจัยเพื่อซื้อที่ดินสร้างวัด

รายนามผู้มีจิตศรัทธาถวายปัจจัยเพื่อซื้อที่ดินสร้างวัด ขันติอุดมธรรม

๑.นางแปง กลาหงษ์ ๒ ตรว. เท่ากับ ๕๐๐ บาท
๒.นางกฤษณา กลาหงษ์ ๒ ตรว. เท่ากับ ๕๐๐ บาท
๓.นายทนงชัย รุ่งเรือง ๒ ตรว. เท่ากับ ๕๐๐ บาท
๔.ดช.ปฐมพล รุ่งเรือง ๒ ตรว. เท่ากับ ๕๐๐ บาท
๕.นางบ่าย กลาหงษ์ ๒ ตรว. เท่ากับ ๕๐๐ บาท
๖.นายประยุทธ วรรณวิภาพงศ์ ๒ ตรว. เท่ากับ ๕๐๐ บาท
๗.นายปิติชัย กลาหงษ์ ๒ ตรว. เท่ากับ ๕๐๐ บาท
๘.นส.เบญจพร กลาหงษ์ ๒ ตรว. เท่ากับ ๕๐๐ บาท
๙.นางพร กลาหงษ์ ๒ ตรว. เท่ากับ ๕๐๐ บาท
๑๐.ดร.ทพ.อะนัฆ เอี่ยมอรุณ ๔๐ ตรว. เท่ากับ ๑๐,๐๐๐ บาท
๑๑.นางเผ็กอั้น แซ่จิ้ว ๒ ตรว. เท่ากับ ๕๐๐ บาท
๑๒.นายศิลปชัย ไพจิตร ๑ ตรว. เท่ากับ ๒๕๐ บาท
๑๓.นายธนนันท์ ไพจิตร ๑ ตรว. เท่ากับ ๒๕๐ บาท
๑๔.นายสุทิศ จิราวุฒิพงศ์ ๑ ตรว. เท่ากับ ๒๕๐ บาท
๑๕.นางสุวรรณา จิราวุฒิพงศ์ ๑ ตรว. เท่ากับ ๒๕๐ บาท
๑๖.นายนรุตย์ จิราวุฒิพงศ์ ๑ ตรว. เท่ากับ ๒๕๐ บาท
๑๗.นส.ธันชนกย์ จิราวุฒิพงศ์ ๑ ตรว. เท่ากับ ๒๕๐ บาท
๑๘.นายมานพ ธรรมสิริอนันต์ ๔๐ ตรว. เท่ากับ ๑๐,๐๐๐ บาท
๑๙.ทพญ.เกษรา ปัทมพันธุ์ ๘ ตรว. เท่ากับ ๒,๐๐๐ บาท

------------------------------------ ^^ ๑๓ มีค. ๕๔ ^^ --------------------------------------

ตอนนี้ทางวัดกำลังดำเนินการเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับบริจาคในการซื้อที่ดินโดยเฉพาะ เมื่อเสร็จเรียบร้อยดีแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งขออนุโมทนา ...สาธุ

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

คลิป เมรุโดยรอบ




ขออนุญาติ และ ขอขอบคุณคลิปจาก ...เวป วัดป่า.คอม มาก ๆ ครับ

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

"ศิษย์ดื้อ" พระธรรมเทศนาโดยท่านอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว วันที่ 10 กรกฎาคม 2526

"ศิษย์ดื้อ" พระธรรมเทศนาโดยท่านอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว วันที่ 10 กรกฎาคม 2526
copy จาก พันทิป.คอม

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๖
(http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=972&CatID=3)
-----------------------------------------------------

... " กับหมู่กับเพื่อนนี้มันสะดุดอยู่ไม่หยุดไม่ถอยนี่ หลั่งไหลเข้ามา-มาเหยียบมาย่ำทำลายนั่นแหละ ไม่ได้มาส่งเสริมอะไร นี่เคยทำมาทุกอย่างในบรรดาที่นำมาสอนหมู่เพื่อน ที่หมู่เพื่อนทำอยู่ทุกวันนี้ผมเคยทำมาแล้วทั้งนั้น เคยอยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์มา ท่านก็ว่าท่านอนุโลม เราไปดูท่านไม่เคยเห็นที่ไหนปฏิบัติเหมือนท่าน เราก็ได้ยึดหลักนั้นมาประพฤติปฏิบัติเต็มสติกำลังความสามารถของตน จากนั้นหมู่เพื่อนก็มาเกาะรุมเข้ามาเรื่อย ตั้งแต่ท่านมรณภาพจากไปโน้นแหละ เข้าไปในป่าในเขาที่ไหนก็รุมไปตาม สุดท้ายก็พันกันจมไปด้วยกันอย่างที่เห็นอยู่นี่

เราไม่ใช่เป็นคน นิสัยวาสนากว้างขวางใหญ่โตภูมิฐานอะไร จะว่าเราเป็นคนอาภัพวาสนาก็ยอมรับทันที เพราะนิสัยเราไม่ได้ชอบเรื่องพะรุงพะรัง ไปไหนก็ไปตามนิสัยวาสนาอาภัพของตน ไม่เกี่ยวกับหมู่กับเพื่อนนอกจากครูบาอาจารย์เท่านั้น พอท่านล่วงไปแล้วก็เข้าป่าเข้าเขาไป หมู่เพื่อนหากรุมตาม ขโมยหนีเท่าไรก็ไม่พ้น ขโมยหนีจากหมู่จากเพื่อน เพราะอยากอยู่ลำพังองค์เดียว มันสะดวกสบายไม่ยุ่งอะไรกับใคร อยากกินก็ได้ไม่อยากกินก็ได้ นี่สุดท้ายก็เต็มไปหมด ที่ไหน ๆ ก็หลั่งไหลมา

นี่ ก็เตือนเสมอสอนเสมอ แทนที่จะเกิดผลดีขึ้นมามันก็ยิ่งเพิ่มความไม่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ให้เห็นอยู่ตำหูตำตาอยู่เรื่อย ๆ เหมือนกับไม่ได้มาศึกษา ทั้ง ๆ ที่ก็สั่งสอนกันแล้วมันยังเป็นไปอยู่ต่อหน้าต่อตาจะทำยังไง เอ้า อดอาหารผมก็เคยอดแล้ว จะว่าอะไรน้ำอ้อยน้ำตาล แม้แต่น้ำร้อนเฉย ๆ ผมก็ไม่ได้ฉันนี่ อยู่อย่างนั้นแล้ว ไม่ได้เคยเกี่ยวกับน้ำร้อนน้ำชาอะไรเลย อย่าว่าแต่น้ำตาล โกโก้ กาแฟ น้ำส้ม น้ำหวานนี้เลย เพราะแต่ก่อนไม่มีด้วย ไม่สนใจด้วย นี้มันเหลือเฟือในวัดนี้ จึงว่าเราอนุโลมจนอกจะแตกแล้วนะ ได้บอก แล้วมันก็ยิ่งลุกลามไป ๆ มาหาอยู่หากินกัน ไม่ได้มาเพื่ออรรถเพื่อธรรม นี่ซิจนอกเราจะแตกแล้ว เราจะอยู่กับหมู่เพื่อนไม่ได้

อด ถ้ากลัวตายอดไปทำไมอดอาหารน่ะ ถ้าจะฉันก็มาฉันที่ครัวนี้ เดี๋ยวนี้ยังมีองค์ไหนบ้างที่ขนไปเป็นคลังน้ำอ้อย น้ำตาล โกโก้ กาแฟ เนยใส เนยข้น อยู่ตามกุฏิน่ะ หือ มีกุฏิองค์ไหนบ้าง ยังมีอยู่ไหมเดี๋ยวนี้ หือ อย่ามาอยู่ให้หนักวัดนี้นะ เราไม่ได้สอนหมู่เพื่อนเพื่อน้ำอ้อย น้ำตาล น้ำส้ม น้ำหวาน สอนเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริง ๆ อย่าเอาสิ่งเหล่านี้มาเหยียบย่ำทำลาย อย่าเอาสิ่งเหล่านี้มาอวดนะ สิ่งเหล่านี้มีเต็มไปในแผ่นดินไม่เห็นเป็นของประเสริฐ ไม่ได้ถือว่า สรณํ คจฺฉามิ กับมันสักทีแหละ อย่าเอามาอวดนะ พุงอย่าเอามาอวด ลิ้นอย่าเอามาอวด อย่ามาเหยียบย่ำทำลายธรรม ผู้เจตนาหวังดีมีอยู่ อย่าเอามากีดมาขวาง เมื่อไม่สมัครใจให้ไปอย่าให้ได้ไล่กันนะ นี่อกจะแตกแล้วนะกับหมู่กับเพื่อน

มา อยู่ทำไม เราไม่ได้มาสอนหมู่เพื่อนใส่น้ำอ้อย น้ำตาลนี่นะ ใส่เรื่องปากเรื่องท้องนี่ เราสอนใส่อรรถใส่ธรรมต่างหาก มาเองนี่นะ ใครไม่ได้เชื้อเชิญมา ไม่ได้บังคับบัญชามา มาทำไม ทำไมให้กีดขวางหมู่เพื่อนผู้ดี เหยียบย่ำทำลายครูบาอาจารย์ และการแนะนำสั่งสอนไม่มีคุณค่ายิ่งกว่าพุงกว่าปากกว่าท้องแล้วหรือเวลานี้ น่ะ มันหน้าด้านไปแล้วนะ ได้พูดแล้วถ้าจะฉันก็ให้มาฉันที่ครัวนี่ ฉันพอเยียวยาเท่านั้น ถ้ามันหิวยิ่งกว่านั้นก็มากินเสียซิกินข้าวเป็นอะไรไป ข้าวก็มีอยู่แล้วนี่ จะให้มันขวางทำไม เอามาอวดทำไมอวดกิเลสหยาบ ๆ อย่างนั้น นั่นยิ่งหยาบขึ้นไปยิ่งกว่าผู้ไม่อดเสียอีก

สิ่งอะไรก็ตาม ทีนี้ ใครจะสั่งอะไรถ้าเราไม่รู้ด้วยไม่ได้นะ มันเก่งแล้วเดี๋ยวนี้ มันแหวกแนวไปแล้ว เก่งยิ่งกว่าครู สะเทือนใจอยู่ไม่หยุดเลย เพราะมันผิดกับเจตนาที่เราสั่งสอนหมู่เพื่อนด้วยความทุ่มเทลงจริง ๆ เวลาผลตกออกมามันเป็นอย่างนี้ เป็นเปรตเป็นผีไปหมด ท้องเท่าภูเขาปากเท่ารูเข็ม มันไม่มีอิ่มมีพอเลย ใครบ้างอะไรบ้างโกยไปไว้ที่กุฏิน่ะ หือมาหาอะไร หนีนะอย่าอยู่ วัดนี้ไม่ประสงค์ทั้งนั้นถ้าเป็นแบบที่ว่านี้ อย่าเอามาอวด เราจะอยู่คนเดียวเรานี่ ตายก็ไม่ให้ใครมา กุสลา แหละ พูดตรง ๆ อย่างนี้ไม่ใช่อวด เราจะตายอย่างสบายเราเลย ตามนิสัยของเราที่อาภัพ อยู่คนเดียวตายคนเดียวนี่ ไม่ได้หวังพึ่งอะไรทั้งสามแดนโลกธาตุนี่ ...

... "อย่างการที่อยู่กับหมู่กับเพื่อนก็อยู่ด้วยการถูการไถ ด้วยความเมตตาสงสาร ว่าพอจะเป็นผู้เป็นคนเป็นพระเป็นเณร ได้ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ แนะนำสั่งสอน อุตส่าห์สั่งสอนมากี่ปีแล้วนี้ ๓๐ กว่าปีแล้วตั้งแต่เกี่ยวข้องกับหมู่กับคณะ เริ่มตั้งแต่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านมรณภาพไปนั้น รุมมาตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งป่านนี้ ยิ่งหนายิ่งแน่นขึ้นทุกวัน ๆ ทุกเวลา ผลที่จะพึงได้ไม่ปรากฏ มีแต่เรื่องกีดเรื่องขวาง ทิ่มแทงหู ตา ใจอยู่ตลอดเวลา หวังเอาประโยชน์อะไร สั่งสอนเพื่อประโยชน์อะไร เมื่อไม่เกิดประโยชน์แล้วสอนไปทำไม อยู่เฉย ๆ ไม่สบายดีกว่านั้นเหรอ

ยัง มีอีกไหมนี่รายไหน พูดมาหลายครั้งแล้วนี่นะ มันยังมีอยู่ไหมพระหน้าด้าน พุงเท่าภูเขานี่ มันยังมีอยู่ไหมที่เอามาอวดธรรมอยู่นี่น่ะ ต้องไม่กลัวตายถึงได้ทำ ถ้าเห็นว่าชอบธรรมแล้วไม่กลัวตาย กลัวตายอย่าทำ อย่าให้มันกีดขวางหมู่เพื่อน นี่ได้สอนแล้ว ของในครัวนี้ก็เต็ม มันอะไรถึงต้องแหวกแนวเอาไปกุฏิโน่น เอาไปโน้น ๆ อะไรก็สั่งเข้ามาโกยเข้ามา ๆ ขโมยเข้ามา ลักลอบเข้ามาเหมือนของหนีภาษีนี่ พระเหล่านี้เป็นอย่างนั้น ทำไมมันถึงหยาบโลนเข้าไปทุกวัน ๆ สอนให้มีความละเอียดเข้าไปเท่าไรยิ่งเพิ่มความหยาบโลนให้เห็น มาอยู่ให้หนักวัดทำไม

นี่สอนหมดไส้หมดพุงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าปฏิปทาเครื่องดำเนิน สอนหมดพุง ผลเกิดขึ้นมากน้อยเป็นยังไง ทุ่มลงไปจนหมดไม่มีอะไรเหลือเพื่อหมู่เพื่อคณะ ด้วยความเมตตาสงสารจริง ๆ เราไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้อง โลกามิสใด ๆ ไม่มีมาเกี่ยวข้องในหัวใจเลย นอกจากเพื่อหัวใจหมู่เพื่อนถ่ายเดียวเท่านั้น ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ทนเอาเพราะเห็นแก่หัวใจ เพราะคิดว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ค่อยร่วงโรยลงไป ร่วงโรยไป ๆ จะไม่มีที่ยึดที่ถือที่พอเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ผู้เจตนาหวังดีที่ตั้งใจเป็นอรรถเป็นธรรมมีอยู่ จึงมามุ่ง

แต่นี้ไม่ ทราบอะไรเป็นธรรมไม่เป็นธรรม มันกลายเป็นมูลสดมูลแห้งไปหมด แหลกไปตาม ๆ กันหมดนี่ แล้วผู้มาใหม่ก็ไม่รู้เรื่อง เห็นขี้ก็เลยคลุกเคล้ากันไปกับขี้นั้นไปเลย เพราะพวกนี้สร้างแต่ขี้ไว้ ขี้กองเต็มวัดเต็มวาไว้หมดหาที่เหยียบที่ย่างไม่ได้ ผู้มาทีหลังนึกว่าสถานที่นี่มีที่เหยียบที่ย่างตั้งแต่ขี้เท่านั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้นก็เหยียบไปตาม ๆ กัน มันก็แหลกไปตาม ๆ กันหมดไม่มีอะไรเหลือ

สอนหมดทุกแง่ทุกมุมเรื่องครูบาอาจารย์พาดำเนิน มาอย่างไร การต่อสู้กับกิเลสทุกประเภทต้องลำบากลำบนก็บอกแล้ว เพื่ออรรถเพื่อธรรม ต้องรื้อต้องถอนต้องฟาดต้องฟันเข้าไป หนักกับเบาก็ไม่ได้คำนึง เพราะกิเลสมันหยาบมันหนา มันทำความลำบากทรมานแก่เรา ปกติมันก็ทำความทรมาน เวลาจะถากจะถางออกก็ทุกข์ก็ยากก็ลำบาก เพราะเรื่องของกิเลสถ่ายเดียวเท่านั้น เรื่องของธรรมไม่ได้มีอะไรลำบาก ธรรมเป็นธรรมอยู่แล้ว ไม่เคยก่อความลำบากรำคาญเป็นทุกข์เดือดร้อนแก่ผู้ใด ขึ้นชื่อว่าธรรมแล้วไม่ว่าธรรมประเภทใด เรื่องที่ได้รับความทุกข์ความยากความลำบาก ต้องฝึกฝนทรมานก็ฝึกทรมานต่อสู้กับกิเลสตัวยาก ๆ นั้นเอง ก็สอนแล้วสิ่งเหล่านี้เวลานี้มันเป็นเรื่องฆ่ากิเลสเหรอ นอกจากเป็นเครื่องส่งเสริมกิเลสให้มีกำลังเหยียบหัวคนเหยียบหัวพระลงไปสด ๆ ร้อน ๆ จนหน้าด้านไปเท่านั้นไม่เห็นมีอะไร นี่จะกลายเป็นพระหน้าด้านไปหมดทั้งวัดแล้วนะนี่

พวกท่านมาหวัง ประโยชน์อะไร มากินมานอนมาขี้นั้นเหรอ มันวิเศษหรือของเหล่านี้ เอามาอวดทำไม เอามาเหยียบย่ำทำลายธรรมทำไม เอามาอวดธรรมทำไม นี่ถ้าไม่เคยทำไม่เคยดำเนินมาก็ไม่ว่านะ เราไม่เข้าใจเพราะเราไม่เคยดำเนินมาก็เป็นอีกอย่าง การเป็นพระเราก็เป็นมาก่อนแล้วนี่ การปฏิบัติลำบากลำบนขนาดไหนหรือสะดวกอย่างไรก็เป็นมาแล้ว ได้เอาเรื่องที่เป็นมาแล้วทั้งนั้นมาสอนหมู่เพื่อน ถ้าว่าอดข้าวก็เคยได้พูดแล้ว ถึงขนาดเขาแตกบ้านมาดู เขาว่าตายแล้วนี่ ถ้าไม่ตายไม่โมโหโทโสอยู่เหรอ ไปดูซิ นั่นถึงขนาดนั้น

ไม่ได้สนใจ อะไร เพราะน้ำอ้อย น้ำตาล ก็ไม่มีอยู่แล้วตามปกติ น้ำส้ม น้ำหวาน โกโก้ กาแฟ อย่าไปถามหามันเลยและก็ไม่สนใจด้วย แม้แต่น้ำร้อนน้ำชาก็ไม่แตะนี่ ไม่เคยสนใจ ถ้าอด-อดจริง ๆ เอาจริง ๆ สู้จริง ๆ มันจะตายจริง ๆ ก็ไปฉันมันได้นี่ ก็เราปฏิบัติเพื่อเราแท้ ๆ ทำไมจะไม่รู้เรื่องของเราว่าจะเป็นหรือจะตาย "


.... " อย่าเอาความสะดวกความสบายอันเป็นเรื่องของกิเลสมาเหยียบย่ำทำลายวัดวาอาวาส ครูบาอาจารย์ ตลอดเพื่อนฝูงที่เจตนาหวังดีมีอยู่มาก อย่าเอาของหยาบ ๆ โลน ๆ เข้ามาเหยียบย่ำทำลาย อย่าเอามาอวดนะ นิสัยเคยชอบสะดวกสบายมันติดสันดานมานี่ นิสัยอันนั้นมันเป็นอะไร เป็นธรรมหรือเป็นกิเลส เวลานี้จะมาแก้กิเลสไม่ใช่เหรอ ทำไมจึงต้องได้มาประกาศออกหน้าออกตาขวางวัดขวางวาขวางหมู่เพื่อน ขวางครูบาอาจารย์อยู่ได้โดยไม่สะทกสะท้านเลย มันสมควรแล้วเหรอพระแบบนี้

พวก ท่านจะหวังความวิเศษวิโสจากอะไร ถ้าจากอันนี้มันเอาความวิเศษวิโสอะไรให้ เอามาอวดผมบ้างซิ สั่งนั้นมาสั่งนี้มา สั่งนั้นมากินสั่งนี้มากิน มันพระกรรมฐานยังไงนี่ ผมสลดสังเวชน่ะเพราะผมไม่เคย ครูบาอาจารย์ก็ไม่เคยทำมา แล้วก็ได้นำแบบฉบับครูบาอาจารย์ตามหลักธรรมหลักวินัยมาสอนด้วยนี่นะ ทำไมแนวนี้มันมาจากไหนถ้าไม่มาจากเรื่องของกิเลส เรื่องนิสัยสันดานของคนหยาบช้าลามก นำอันนั้นมาอวด อวดยังไงอวดเพื่อนอวดครูอวดอาจารย์ เหยียบย่ำทำลายธรรมวินัย มันจะเป็นอะไรไปถ้าไม่ใช่กิเลสตัวหยาบ ๆ นี้

นี่ก็เคยได้พูด วัดนี้ดั้งเดิมก็ไม่เคยฉันอะไร น้ำร้อน น้ำชาไม่ยุ่งทั้งนั้น ตั้งแต่อยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็เป็นเช่นนั้น ไม่มี เราดำเนินมาก็ไม่เคยสนใจกับมัน ทีนี้มาอยู่ที่นี้ก็มากเข้า ๆ สิ่งของก็มีมา ๆ ก็อนุโลมไป อนุโลมมันเลยเลว อนุโลมแล้วอนุแหลกไปแล้วเดี๋ยวนี้ อนุเลวไปแล้ว มันแซง ๆ ถ้าของอย่างนี้แล้วแซงเร็วที่สุดเลย ลิงร้อยตัวสู้มันไม่ได้ ถ้าอันไหนที่จะเป็นความเสื่อมความเสียมันแซงเร็วที่สุดเลย ถ้าอันไหนจะดีมันไม่ยอมไป นี่สอนมากี่ปีกี่เดือนแล้วมาอยู่กับผมนี้กี่ปีกี่เดือนแล้วแต่ละองค์ ๆ นี่ แล้วปลอมที่ไหนหลักธรรมหลักวินัยที่นำมาสอนนี่ มันถึงได้เอาสิ่งเหล่านั้นเข้ามาแทนหลักธรรมหลักวินัยที่สอนไว้

ใคร อดอาหารให้คนอื่นเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปส่งมีไหม อย่ามาอดอวดวัดนี้นะ อย่าอดให้เห็นนะ การให้ผู้นั้นเอาของนั้นไปส่งให้คนนี้เอาของนี้ไปส่ง ติดต่อคนนั้นติดต่อคนนี้ให้ซื้อนั้นมาให้-ให้ซื้อนี้มาให้ ผมไม่ได้เห็นคุณค่าของเงินยิ่งกว่าธรรมและท่านทั้งหลายนะ ใครจะไปก็ไปซิ จะโกยก็โกยไปซิ มีเท่าไรมากน้อยที่เก็บไว้เพื่อความเป็นธรรมต่อหมู่ต่อเพื่อนให้ได้รับความ สะดวก ไม่ได้เก็บไว้เพื่อสังหารนี่ เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องสังหารนี่ ผมไม่ได้มาสนใจกับเงินกับทองข้าวของอะไรทั้งนั้น มีมากมีน้อยไม่เคยสนใจยิ่งกว่าพระเณรที่ผมรับไว้ การสั่งสอนก็สั่งสอนลงที่จุดนี้ สนใจที่จุดนี้ต่างหาก ผมไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านั้น มันจะมีมากน้อยขนาดไหนไม่เคยสนใจกับมันเลย ถ้าหากนำมาใช้ก็ใช้ให้เกิดประโยชน์ให้เป็นธรรม อย่าเอามาเป็นเครื่องสังหาร

มัน เล็ดมันลอดมันแทรกมันแซงมันขโมยเป็นอยู่ในตัวของมันนั่นแหละ แบบพระหน้าด้าน มันมี พระในวัดนี้ เริ่มตั้งแต่ทำสระน้ำมานี่ผมได้เห็นความหยาบของพระที่สุด มันฝังใจไม่ได้ลืมเลยนะไม่ทราบเป็นยังไง เพราะมันฝังลึกจะลืมได้ยังไง เหมือนยักษ์เหมือนผี เหมือนกับถูกกักถูกกันเอาไว้ พอเปิดช่องนิดมันแหวกแนวกันออกเหมือนกำแพงจะแตกน่ะ พระหน้าด้านสันดานหยาบ แล้วมาทำให้หมู่เพื่อนที่ดีเสียไปด้วย เหยียบย่ำทำลายไปด้วยในตัว

ตั้งแต่ ปกครองหมู่เพื่อนมาก็มีปีนี้ ปีที่แสดงความอกจะแตกให้เห็นกับหมู่กับเพื่อน ผมไม่ได้เคยเห็นพระหน้าด้านอย่างนี้ ปกครองมานานแล้วพึ่งมาเห็นนี่ สันดานหยาบ ไม่พอใจอยากอยู่ก็หนีไปซิใครบังคับเอาไว้ จะหนีไปหมดนี้ก็ไปซิ ก็ไม่ได้นิมนต์ใครมานี่ อย่ามาเหยียบย่ำทำลายปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์พาดำเนินมา อย่างนี้มันเป็นความเสียหายมากนี่ หนีไปเสียไม่เสียหาย ไป..เสียหายแต่ตัวเองจะไปไหนก็ไปเถอะ อย่ามาทำหมู่ทำเพื่อนให้เสียหาย วัดวาอาวาสให้เสียหาย เก่งก็ไปตามเรื่องเพลงเก่ง ๆ นั่นซิ ไปวาดลวดลายเอาซิ ให้สามโลกได้กราบลวดลายที่เก่งกล้าสามารถ เก่งกว่าครูกว่าอาจารย์ ให้ได้เห็นบ้างซิถ้ามันเก่งจริงน่ะ

ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไรก็เป็น อีกอย่างหนึ่ง ไอ้นี้มันรู้กันอยู่แล้ว สอนกันมาสักเท่าไรแล้วนี่ ถ้าไม่เป็นด้วยนิสัยสันดานหน้าด้านจะเป็นเพราะอะไร มันก็เห็นได้ชัด ๆ น่ะซิ นี่ถ้าไม่เคยดำเนินมาก็ไม่รู้ นี่รู้หมด ดำเนินมาแล้ว หากว่ายังเป็นอย่างนี้พระจะต้องได้ออกจากวัดหมดจริง ๆ อย่างน้อยเรื่องน้ำอ้อยน้ำตาลนี่ให้หยุดหมดเลย ไม่ให้มายุ่งเลย มาสร้างความหนักใจมาสร้างขวากสร้างหนามไว้ทำไม เราไม่ได้เอาขวากเอาหนามสอนหมู่สอนเพื่อน เราเอาอรรถเอาธรรมสอนหมู่สอนเพื่อน ทำไมจึงต้องเอาขวากเอาหนามมาทิ่มแทงหัวอก

มาอยู่แบบหน้าด้านอย่ามา อยู่นะ สถานที่นี่ไม่มีสถานที่สอนพระให้หน้าด้านนะใครจะไปก็ไปซิมายัดทะนานกันอยู่ ทำไม จะไปหมดนี้ก็ไปซิ ให้หลวงตาบัวนี่ร้องห่มร้องไห้หาหมู่หาเพื่อนดู หมู่เพื่อนหนีไปหมดแล้ว ถ้ามาอยู่แบบนี้อย่ามาอยู่ให้หนักวัดหนักวาหนักหัวใจ ภูเขาทั้งลูกไม่ได้ไปแบกมัน แต่พระเณรในวัดไม่ว่ารูปใดแบกทั้งนั้น เพราะความรับผิดชอบคือเราคนเดียวนี่ มันหนักอยู่ตรงนี้ซิไม่หนักเพราะภูเขานี่ นิสัยสันดานเคยเป็นมา ทีนี้เวลาได้ออกก็เตลิดเปิดเปิงไม่มีครูมีอาจารย์แหละ ถ้าเป็นสัตว์ก็ไม่มีเจ้าของ... "


... " อย่าอดนะอาหาร ถ้าหากเป็นอย่างนี้อย่าอดเป็นอันขาดนะ อย่าให้เห็นถ้าอดอย่างที่ว่านี่ ให้ใครเอาอะไรไปให้ ๆ นี่ อย่ามาอดมันขวางตานะ นี่เคยอดมาแล้ว อดเพื่อจะทรมานตัวเองไม่ใช่เหรอ ทำไมจะมาอดเพื่อปรนปรือตัวเอง สร้างความลำบากลำบนทิ่มแทงหัวใจหมู่เพื่อนครูบาอาจารย์ทำไม นี่ก็ได้เคยบอกแล้วว่า ได้อนุโลมผ่อนผันหมู่เพื่อนจนกระทั่งอกจะแตกแล้วนะเดี๋ยวนี้ ได้พูดแล้ว พูดแล้วพูดเล่านี่ ตั้งแต่ยังไม่มีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นก็ได้พูดอยู่แล้ว เพราะอนุโลมเต็มที่จริง ๆ ถ้าให้เลยกว่านี้ไปผมอยู่กับหมู่เพื่อนไม่ได้นะ อกผมจะแตกก็ได้บอกอยู่แล้ว มิหนำซ้ำยังมาสร้างความอกแตกให้เห็นต่อหน้าต่อตานี้อีก

เณรมีพระองค์ ไหนบ้างใช้ให้เอาอะไรไปให้ ตอนเช้าตอนอะไรให้เอาอะไรไปให้กิน...นี่ก็เคยพบมาแล้ว มันเข็ดมาตั้งแต่สมัยพ่อแม่ครูบาอาจารย์ยังอยู่ กับพระกับเณรจุ้นจ้าน ๆ นี่จะมาเป็นกับเราเสียเองให้เห็นชัดเจนอย่างนี้อกจะแตกนะ มันเข็ดอยู่แล้วนี่ ใครก็อยากมาอยู่ ๆ เมื่อมาอยู่ก็ให้แสดงลวดลายแห่งความดีงามให้เห็นบ้างซิ

ยิ่งตอนกำลัง สังขารร่างกายเราทรุดเพียงเท่านี้ แล้วมันยิ่งเห็นเด่นชัดเรื่องพระเรื่องเณร เหยียบย่ำทำลายวัดวาอาวาสหมู่เพื่อนครูบาอาจารย์ มีพระขุนนางพระเจ้าชู้ที่ไหนมาอยู่ที่นี่ ธรรมท่านสอนให้เป็นพระเจ้าชู้พระขุนนางเหรอ พระฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม พระเห็นแก่อยู่แก่กิน เห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่เรื่องใช้เรื่องสอยอย่างนั้นเหรอ มีไหมท่านสอนไว้ว่าไง อปฺปิจฺฉตา สนฺตุฏฺฐี ท่านว่าไง ท่านบอกไหมว่าให้สั่งสม มหิจฺฉตา ให้มากน่ะมีไหม เห็นแต่ท่านสอน อปฺปิจฺฉตา ความมักน้อย สันโดษ ในสิ่งที่มีอยู่ ยินดีในสิ่งที่มีอยู่ การแหวกแนวกว้านเอาเข้ามานั้นเป็นสันโดษแล้วเหรอ บุหรี่ถ้าไม่ใช่บุหรี่นอกก็ไม่ซื้อมาสูบ องค์ไหนซื้อบุหรี่มาสูบ มันซื้อมาเผาหัวมันเหรอ ซื้อมาทำไม มาปฏิบัติเพื่อสูบบุหรี่เหรอ เพื่อซื้อบุหรี่เหรอ นี้เหรอวิเศษ อย่างนี้เหรอ ท่านสอนให้สร้างความดีจากอันนี้เหรอ

มองไม่ทันเลยความเลวของพระน่ะ บทเวลามันเป็นขึ้นมาจนอโธอธัง ถ้ายิ่งเราแก่ลงไปกว่านี้แล้วก็ยิ่งแล้วแหละ ก็จะมาควักตากันกินอยู่นี่ ในวัดนี่ มันสลดสังเวชจะตายไป นี่วัดนี้ก็ว่าเป็นวัดหนึ่งที่เหลือเฟืออยู่แล้ว อะไร ๆ เต็มไปหมด เราก็ไม่เคยสนใจว่ามีอะไร ๆ พระเณรจะได้รับความสะดวกสบายด้วยความเป็นธรรมยังไงเราเป็นที่พอใจแล้ว เราถึงไม่เคยมาสนใจกับสิ่งเหล่านี้ แต่เมื่อพระเณรจะเสีย สังหารตนสด ๆ ร้อน ๆ ก็อยู่ไม่ได้ มันกว้านมาสังหารตัวเอง นั่นไม่ใช่ความพอดี มันเลยเถิดจนดูไม่ได้แล้วนี่

อยากให้หมู่เพื่อนได้ขบได้ฉันได้ใช้ได้ สอยด้วยความเป็นธรรมทั่วหน้ากัน นี่เป็นเจตนาสุดซึ้งในหัวใจเรา เราพูดได้อย่างเต็มปากเลยเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่สิ่งเหล่านี้กลับมาเป็นเครื่องสังหารพระเณรเราก็ดูไม่ได้อีกเหมือนกัน อกเราจะแตก วัดนี้แลที่เหลือเฟือ เราอย่าว่าพอดิบพอดีเลย มันเหลือเฟือวัดนี้ ขนออกไปทานเท่าไรก็เป็นความชอบธรรมทั้งนั้นแหละ ไอ้ขนเข้ามาสังหารตัวเองเพราะความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความโลภความโลเล ความไม่รู้จักประมาณ ความเห็นแก่ปากแก่ท้องนี่ซิ มันเป็นเรื่องหยาบมาก หยาบโลนที่สุดนะ ไม่อยากได้ยินไม่อยากเห็นผู้ปฏิบัติจะมาแสดงตัวเป็นอย่างนั้น มันเข้ากันไม่ได้กับความตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน นอกจากจะปฏิบัติเพื่อจมลงโดยถ่ายเดียวเท่านั้น กิเลสนี้ถึงไม่มาปฏิบัติมันก็สร้างตัวของมันอยู่แล้ว แต่นี้เราไม่ได้มาปฏิบัติเพื่อทางจมทั้งเป็นนี่นะ มันจึงดูไม่ได้

การ ปฏิบัติธรรมไม่ฝ่าไม่ฝืนไม่ดัดไม่แปลงกดขี่บังคับตน กดขี่บังคับกิเลสที่ฝังใจและกดขี่บังคับเรา ก็ไม่ทราบจะเดินทางไหน ท่านผู้เป็นสรณะก็เห็นแล้วตามตำรับตำรา ใครจะค้านกันได้ลงคอก็คัมภีร์เดียวกัน ไม่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระสงฆ์สาวกท่าน ท่านดำเนินอย่างไร สกุลไหนที่ไม่ได้มาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้ามีเหรอ สกุลไหนก็ได้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ดำเนินตามพระองค์หมดทุกสกุล สกุลพระราชามหากษัตริย์ เศรษฐี กุฎุมพี พ่อค้า ประชาชนคนธรรมดา ยาจกวณิพกคนขอทาน เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น มาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้ทั้งนั้น... "

" ท่านไม่ได้มาเป็นด้วยความโอ่อ่าสง่าผ่าเผย ด้วยความเห็นแก่ปากแก่ท้องตามนิสัยสันดาน ท่านมาด้วยอรรถด้วยธรรม ท่านมั่งมีศรีสุขขนาดไหน อำนาจวาสนากว้างแคบขนาดไหนท่านไม่เคยสนใจกับเรื่องนั้น นอกจากธรรมอย่างเดียวเท่านั้น แล้วดำเนินตามพระพุทธเจ้าด้วยความลำบากลำบนท่านก็ไม่ได้ท้อใจ จนได้เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราขึ้นมา ท่านไม่ได้เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ มาเพื่อน้ำอ้อยน้ำตาล โกโก้ กาแฟ เนยใส เนยข้น ดังที่พวกเรากว้านเข้ามาเป็นสรณะอยู่ทุกวันนี้ซึ่งมาสังหารตน สาวกทั้งหลายท่านไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ เยียวยากันไปอย่างนั้น อันนี้ไม่ใช่เยียวยา มันอะไรพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

ทางจงกรม ที่ท่านนั่งสมาธิภาวนา นั่นเป็นสถานที่หายใจของท่าน ลมหายใจท่านอยู่กับความเพียรนั้น ท่านไม่ได้มาอยู่กับสิ่งเหล่านี้อันเป็นของเศษของเดนของโลกสมมุตินิยมกัน ของธาตุของขันธ์ที่มันต้องการ แต่กิเลสมันไปกว้านเอามาเป็นเจ้าตัวการอันสำคัญขึ้นมาเป็นใหญ่เป็นโตในหัวใจ พระ ในพุงของพระ ในลิ้นของพระไปเสีย แล้วธรรมจะเกิดได้ที่ไหนเมื่อสิ่งนี้มาเป็นใหญ่กว่าแล้ว นี่ซิจึงทำให้อิดหนาระอาใจลงทุกวันในการสอนหมู่คณะ

นี่ก็ได้ดำเนินมา ก็แทบล้มแทบตาย ได้พูดหมดแล้วให้หมู่เพื่อนฟังไม่เคยลี้ลับ บางทีเหมือนกับจะตายอยู่คนเดียวจริง ๆ มันทุกข์มันลำบากทั้งธาตุขันธ์ร่างกายทั้งทรมานจิตใจ ไม่กินแล้วยังไม่แล้วยังไม่นอน แต่ความเพียรไม่ถอย ลมออกหูอื้อไปหมดนะ เหมือนมันไม่ออกจมูกนะ ไม่ได้คิดว่าจะมาแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนอย่างนี้ เวลาปฏิบัติตนอยู่มันเหมือนผ้าเช็ดเท้าผืนหนึ่งชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่มันเด็ดก็คือว่าจะเอาให้กิเลสพังโดยถ่ายเดียว เป็นก็เป็นตายก็ตาย เพียงขนาดนี้ไม่ตาย

ยกพระพุทธเจ้ามาเป็นบรมศาสดามาเป็นธงชัย พระพุทธเจ้าสลบถึง ๓ หนพระองค์ไม่เห็นตาย นี่ยังไม่เห็นสลบทำไมจะกลัวตายแล้ว นี่อุบายสอนเจ้าของ จะสลบไม่สลบมันก็รู้กันอยู่นี้ มันไม่สลบด้วยทุกข์ขนาดนี้ ยังไม่ถึงพระพุทธเจ้าที่สลบนี่นะ เราอวดว่าเราเก่งยังไงได้ มันก็มีแก่ใจน่ะซิเมื่อปลุกจิตอย่างนั้น ไม่ให้มันท้อถอยอ่อนแอนี่ ทุกข์ขนาดไหนก็ให้รู้ซิ ทุกขสัจเป็นของจริงอยู่แล้ว ไม่เรียนรู้ทุกขสัจจะไปรู้อะไร ให้มันเห็นรอบตัวรอบกายรอบใจนี่ซิผู้ปฏิบัติ จะไปเห็นแต่สิ่งเหล่านั้น ๆ ประเสริฐ สิ่งเหล่านั้นดีอย่างนั้น ตัวเลวไม่ได้ดูนั่นซิ เมื่อไม่เห็นความเลวของตัว ก็ความเลวนั้นแหละมันเหยียบย่ำทำลายหัวใจอยู่ ไม่มีวันลดหย่อนผ่อนผันลงบ้างเลย มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย ให้กิเลสเพิ่มหัวใจเหมือนธรรมเพิ่มหัวใจไหมล่ะ มันมีแต่กองฟืนกองไฟ ไฟนรกยังสู้ไม่ได้ มันเผาอยู่ในหัวใจนั่นเพราะพิษของกิเลส "

... " สิ่งเหล่านั้นไม่ได้สำคัญเท่าความลงใจด้วยเหตุด้วยผลกันนี่นะ อันนั้นต่างหากที่จะเป็นสิริมงคล ไม่ใช่เป็นสิริมงคลเพราะการมาทำเอาตามชอบใจ และการส่งเงินมาเป็นล้าน ๆ มันเป็นมงคลอะไร หาเหตุผลไม่ได้เอามงคลมาจากไหน ความมีเหตุผลความมีหลักเกณฑ์นั่นคือความเป็นมงคล นั่นคือความเป็นของมีคุณค่า คุณค่าอยู่ตรงนั้นต่างหาก ไม่ได้อยู่กับความเพราะเห็นแก่หน้าแก่ตากัน ไม่ได้อยู่เพราะเห็นว่าเขาเอาเงินเอาทองมาให้ ถ้าอย่างนั้นศาสนาก็จม ศาสนาไปเห็นแก่สิ่งเหล่านั้นศาสนาก็ไม่เป็นตัวของตัวได้ ปกครองโลกไม่ได้ กลายเป็นโลกมาปกครอง ศาสนาแหลกไปหมด นั่น ต้องคิดเรื่องเหล่านี้ไม่คิดไม่ได้ นี่จึงไม่ได้ปฏิบัติต่อใครง่าย ๆ โดยหาเหตุผลไม่ได้ ถ้าเหตุผลพร้อมแล้วไม่ว่าใครปฏิบัติได้ทั้งนั้น ลงใจได้ทั้งนั้น มันลงอยู่ที่เหตุผลต่างหาก ไม่ได้ลงอยู่กับเงินกับทองกับข้าวกับของ กับเป็นผู้ใหญ่ผู้น้อย ฐานะนั้นฐานะนี้ ไม่ได้ลงเพราะสิ่งเหล่านี้ เพราะธรรมไม่ได้อยู่กับสิ่งเหล่านั้น ธรรมอยู่กับเหตุกับผลคือความถูกต้องดีงามเป็นหลักเป็นกฎเป็นเกณฑ์ต่างหาก

มอง มาเห็นพระเณรเพ่น ๆ พ่าน ๆ หาเหตุหาผลไม่ได้นี้มันสะดุดใจ ๆ นะ ให้เห็นอยู่ในทางจงกรม เห็นอยู่ที่สมาธิภาวนาเราปลื้มใจภูมิใจ สมกับเจตนาที่เราสอนเพื่ออย่างนั้นด้วย ไม่ได้มาเพ่น ๆ พ่าน ๆ มีกิจธุระจำเป็นอะไรก็มาทำเสีย เหมือนกับว่าอยากจะให้เสร็จให้สิ้นเร็ว ๆ จะได้ภาวนาสนุก อันนี้มันเป็นน้ำไหลบ่า แม้จะมีสติตั้งหน้าตั้งตาด้วยความมีสติอยู่ในกิจการนั้น ๆ ทั้งรักษาจิตก็ตาม มันก็เป็นน้ำไหลบ่าไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย พอออกจากนั้นแล้วก็ทุ่มกันเลยในความเพียร เป็นน้ำไหลลงช่องเดียว นี่เราอยากเห็นหมู่เพื่อนอย่างนั้น ไม่อยากพบไม่อยากเห็นที่เพ่น ๆ พ่าน ๆ

อย่าง ที่เป็นมาเหล่านี้มันสะดุดตาสะดุดใจ คุยโม้กันหาเหตุหาผลไม่ได้ มันบ้าน้ำลายไปอย่างนั้น ไม่อยากพบไม่อยากเห็น อยากเห็นแต่ว่าพูดน้อยแต่ต่อยให้มากนั่น ฟัดมันลงไปกับกิเลส นี่ถ้าหากว่ากิเลสเป็นตัวเป็นตน เรากับกิเลสนี้เป็นคู่แค้นกันจริง ๆ แหละ ถึงใจเลยเทียว แต่นี้กิเลสเป็นนามธรรม ถ้าหากว่าเป็นรูปเป็นร่างเป็นเหมือนสัตว์เหมือนบุคคล ไอ้เรากับกิเลสนี้จะเป็นคู่เคียดคู่แค้นกันทีเดียว เหมือนกับเป็นคู่ผูกกรรมผูกเวรกันอย่างถึงใจเลยเทียว กิเลสไม่พังเสียเมื่อไรจะถอยไม่ได้ ตายก็ตายไปเถอะว่างั้นเลย เพราะมันเคยบีบบังคับหัวใจมาเสียนานแสนนานไม่ทราบว่านานเท่าไร ในชาตินี้ก็เห็นแล้วตั้งแต่วันเกิดมา

ในขณะที่ออกบำเพ็ญทีแรกก็ เหยียบย่ำทำลายเราไม่ลืมนะ ตั้งหน้าตั้งตาพยายามทำความพากความเพียรเท่าไรมันยังฉุดลากใจเราไปได้ต่อ หน้าต่อตา จนโอ้โฮ ขนาดนี้เชียวเหรอ บังคับกันขนาดนั้นมันยังฉุดลากไปต่อหน้าต่อตา กำลังสู้มันไม่ได้ นี่แหละเหตุที่จะได้ฝึกทรมานหลายด้านหลายทางนะ ก็เพราะธรรมดา ๆ อย่างนี้ฝึกกันอย่างนี้มันไม่ได้ เอ๊ ทำอย่างไรนี่ นี่ละหาอุบายอดนอนก็ลองดู แต่ปรากฏว่ามันทื่อไปเสีย นิสัยไม่ถูกกัน ไม่นอนสองคืนสามคืนติด ๆ กันลองดูเป็นยังไง จิตมันทำไมคึกคะนองเอานักหนานี่ มันคึกคะนองเองนะ ไม่ใช่ว่าไปคึกคะนองเพราะไปรักรูปนั้นรูปนี้อย่างนั้น ไปฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับสิ่งนั้น มันหากเป็นอยู่ในหัวใจนี่ เผาสุมอยู่ในหัวใจเจ้าของนี่ความคึกความคะนองของจิต

ทีนี้ก็ต้องได้ หาอุบายฝึก ไม่นอนก็ลองดู สองคืนสามคืนติด ๆ กันก็ลองดู ผลไม่ค่อยปรากฏ มันทื่อไปเสียไม่แยบคาย พลิกใหม่มาอดอาหารลองดู พออดก็ปรากฏขึ้นมา เรื่องความคึกความคะนองอยู่ภายในจิตใจนั้นก็สงบตัวลงไป ๆ ใจก็ค่อยเย็นขึ้นมา ๆ อืม ชอบกล ๆ แน่ะ นี่แหละเหตุที่เราจะได้อดอาหารจนกลายเป็นนิสัยก็เพราะเหตุนี้เอง ความหิว-หิว ความทุกข์-ทุกข์ทำไมจะไม่ทุกข์ แต่กิเลสมันดัดสันดานเรามันทรมานเรา มันบีบบังคับเรามันทุกข์ยิ่งกว่านี้ไปอีก นั่น เอาข้อนี้มาเทียบ

ถึง เรียกว่าเป็นปฏิปทาอดอยากปฏิปทาเรา เพราะได้พินิจพิจารณาหาอุบายที่จะต่อสู้กับกิเลสนี้หลายแง่หลายกระทงเหลือ เกิน ที่พอได้เงื่อนบ้างก็คือเรื่องอดอาหารสำหรับเราเองนะ คนอื่น ๆ จะเป็นยังไงก็ไม่รู้ละ แต่ส่วนใหญ่ลงธาตุขันธ์มีกำลังธาตุขันธ์นี้เป็นเครื่องเสริมกิเลสได้เป็น อย่างดีเราไม่สงสัย เช่น ราคะก็เกิดได้เร็วถ้าธาตุขันธ์มีกำลัง เพราะมันได้เครื่องมือดี เครื่องมือทันสมัยนี่ พออดลงไป ๆ ใจกำลังคึกคะนองนั้นก็ค่อยสงบตัวลงไปให้เห็น จนกระทั่งสงบแน่วลงไปก็รู้ได้ชัดน่ะซิ นี่ละยากก็ทนที่นี่

กินพอไม่ ให้ตายเท่านั้นแหละ ฟัดกันไปฟัดกันมาอย่างนั้นจนจิตเข้าสู่สมาธิเป็นความสงบได้ แม้เช่นนั้นก็ยังต้องได้ทรมานนั่นแล ไม่ทรมานมากก็ต้องทรมานน้อยอยู่นั้นน่ะ ในการขบฉันไม่ได้ฉันเต็มเม็ดเต็มหน่วยแหละ พอฉันเต็มเม็ดเต็มหน่วยมันฝืดเคืองภายในจิตใจ ขลุกขลักเวลาดำเนิน มันก็ต้องถอยมาอีก เช่น อยู่อย่างในพรรษาหนึ่ง ๆ นี้ผมไม่ได้ฉันจังหันอิ่มแม้วันเดียวเลยนะ

ในพรรษาที่อยู่กับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เพราะอยู่กับหมู่เพื่อนมากจะอดอาหารก็ไม่สะดวก ก็เลยต้องใช้แบบผ่อน คือให้มันวันละเท่านั้นหมดเท่านั้นอิ่มไม่อิ่มไม่สำคัญ เพราะเรากำหนดให้เองนี่ แล้วเราอดเราไม่ฉันมันยังไม่เห็นตายนี่ เราฉันเท่านี้จะเป็นไรไปให้มันเห็นดูซิวะ เรียนธรรมะเรียนเพื่อความรู้ความฉลาดทั้งธาตุทั้งขันธ์และจิตใจ ทำไมจะไม่รู้เรื่องจะเป็นจะตายของเจ้าของ "

" ในพรรษาหนึ่ง ๆ เป็นอย่างนั้นแล้ว อยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์มากี่ปีในพรรษากินข้าวไม่อิ่มแหละ อันนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้พูดให้หมู่เพื่อนฟัง แต่เรื่องสมาทานธุดงค์ผมเอาทุกพรรษาเลย หมู่เพื่อนจะล้มไปขนาดไหนล้มไปเถอะเราไม่ให้ล้ม ยิ่งเข้มงวดกวดขันเจ้าของมากยิ่งขึ้น เห็นหมู่เพื่อนเหลวไหล เพราะเห็นเหลวไหลมาจากโน้นแล้ว เอ๊ หาความจริงใจไม่ได้ทำยังไงนี่ ทำให้วิตกวิจารณ์กับหมู่กับเพื่อน ทั้ง ๆ ที่เราก็ตะเกียกตะกายต่อสู้กิเลสอย่างหนักเหมือนกัน ก็ยังอดคิดเรื่องหมู่เพื่อนว่าไม่มีหลักมีเกณฑ์ไม่ได้ นั่น สมาทานธุดงค์ก็เอา สักเดี๋ยวล้มไป ๆ สุดท้ายหมด เอ๊ ทำไมเป็นอย่างนี้ ยิ่งแสดงความไม่ไว้ใจ เราก็ยิ่งเข้มงวดกวดขันเราเข้าทุกที ๆ

ฉัน จังหันไม่มีอิ่มแหละจนกระทั่งออกพรรษา ให้อย่างนั้นทุกวัน ให้เท่านั้นไม่ตาย บอกเจ้าของเองไม่ตาย สงบ-จิตก็บังคับได้ง่าย เมื่อจิตสงบแล้วสบายไม่ยุ่งวุ่นวายใจ ตัวภายในนี้ก็ไม่คึกไม่คะนองทำลายตัวเอง-อยู่โดยเฉพาะ คือตามธรรมดาของจิตถ้ามันคึกคะนอง นอกจากจะทำลายตัวเองโดยเฉพาะแล้ว มันยังไปกว้านเอารูปเอาเสียงเอากลิ่นเอารสมาเผาตัวเข้ามาอีก เป็นอารมณ์เผาตัวเองนี้แหมมันลำบากมาก กิเลสนี่ถึงได้ถึงใจนี่นะ ฝึกทรมานนี้เกือบเป็นเกือบตายเวลาเราทำ

ทุกข์มากจริง ๆ กิเลสนี่ทำให้เราทุกข์ การฝึกลำบากลำบนก็เพราะกิเลสเป็นต้นเหตุทั้งนั้นพาให้ทุกข์ ธรรมท่านไม่ได้พาให้ทุกข์นี่ ทุกข์ทุกแง่ทุกมุม โดยลำพังของมันที่บีบบังคับเราก็ทุกข์ เราต่อสู้กับมันก็ทุกข์ มีแต่เรื่องของกิเลสพาให้ทุกข์ทั้งนั้น ธรรมท่านให้ทุกข์แก่เราที่ไหน มีแต่กิเลสทั้งนั้นให้ทุกข์มากน้อย การทรมานกันอย่างหนักก็เป็นเรื่องของกิเลส ต่อสู้กิเลสอย่างหนักไม่ใช่ต่อสู้กับธรรมนี่นะ ต่อสู้กับกิเลส พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงอยู่นั้น พื้นฐานของปฏิปทาจริง ๆ ก็คือการอดนั้นแหละ ทุกข์ยากขนาดไหนก็ต้องทน จนกระทั่งจิตเป็นเหมือนหินไปเลย

เวลาสมาธิ เต็มภูมิแล้วมันเป็นเหมือนหินนะ หากไม่แยบคาย เพียงสมาธิเท่านั้น มันสงบแน่ว จิตก็รู้ผ่องใสแน่ว เห็นดวงชัด ๆ อยู่เลยว่าเป็นความผ่องใสเป็นความสงบภายในตัวเอง แม้แต่อยู่ในร่างกายมันก็ไม่ใช่ร่างกาย มันรู้ชัด ๆ ว่าคือจิต นั่น นี้คือจิต นี้คือความสว่างของจิต คือความสงบของจิต นี่รู้ได้ชัด ๆ อยู่ภายในร่างนี้แหละ แต่ไม่ใช่ร่างกายอันนี้ มันหากไม่มีความแยบคายเพราะไม่ใช่เรื่องปัญญา มีแต่ความสงบ เหมือนกับว่าตีกิเลสให้ตะล่อมตัวเข้ามาเฉย ๆ ปัญญาไม่ได้คลี่คลายออกฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลส ต่อเมื่อปัญญาได้ก้าวเดินออกไปนั่นแหละที่นี่ กิเลสฝังจมอยู่ที่ไหนซุกซ่อนอยู่ที่ไหน ปัญญาขุดค้นขึ้นมา ๆ ฟาดแหลกละเอียดไปเรื่อย ๆ

ในธาตุในขันธ์ของเรานี่ทุกหนทุกแห่งเป็น เรื่องของกิเลสเป็นตัวอุปาทานทั้งนั้น เวลาปัญญาคลี่คลายลงไป ๆ นี้ถอดเสี้ยนถอดหนามขึ้นมาเรื่อย ๆ จนได้เห็นคุณค่าของปัญญาประจักษ์ใจ จากนั้นมาปัญญาก็หมุนละที่นี่ ไอ้ความขี้เกียจขี้คร้านความท้อถอยอ่อนแอนี้ จนเรารู้ได้ชัด ๆ ว่าเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ก็เมื่อถึงขั้นนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่มีนี่ มีแต่ท่าจะเอาท่าเดียว จนรั้งเอาไว้มันจะเลยเถิด ไม่หลับไม่นอน นอนไม่หลับ นอนก็นอนแต่ไม่หลับเพราะจิตทำงานต่อสู้กิเลสไม่ถอย นั่งอยู่ก็ต่อสู้

แม้ ที่สุดฉันจังหันอยู่ก็ไม่ได้อยู่กับลิ้นกับปาก สติปัญญาอยู่กับกิเลส ต่อสู้กับกิเลส ฟัดกันกับกิเลส มาสนใจกับรสกับชาติที่ไหนเห็นชัด ๆ รู้ชัด ๆ อย่างนี้ นี่ปฏิบัติมาอย่างนั้น เมื่อถึงขั้นปัญญาได้ก้าวเดิน ธรรมได้ก้าวเดิน ธรรมได้แซงเหยียบหัวกิเลสไปแล้วเป็นอย่างนั้น กิเลสค่อยหมอบลง ๆ แต่ก่อนกิเลสเหยียบย่ำทำลายธรรม แม้สมถธรรมก็เกิดไม่ได้ถูกกิเลสเหยียบพังทลายไปหมด "

ทุกข์มากที เดียว จิตหาความสงบไม่ได้นี้ทุกข์แสนสาหัส ทีนี้พอจิตสงบได้ศาสนาก็มีคุณค่าขึ้นมา กราบพระพุทธเจ้าก็สนิทใจ กราบเฉย ๆ นับถือเฉย ๆ อย่างหนึ่ง กราบด้วยความถึงใจเป็นลำดับลำดาไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง กราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ ผิดกันในใจดวงเดียวกันนั่นแล พอกิเลสอ่อนกำลังลงธรรมะก็ยิ่งมีกำลังมาก ๆ สติธรรม ปัญญาธรรม อุตสาหธรรม วิริยธรรม กลมกลืนเป็นอันเดียวกันไปเลย ขึ้นชื่อว่าธรรมแล้วรวมพลังกันมาเป็นจุดเดียว ๆ ๆ พุ่ง ๆ ๆ แน่ะ ความขี้เกียจขี้คร้านหายหน้าไปหมด มีแต่เอาเป็นเอาตายเข้าสู้ท่าเดียว สุดท้ายก็มาลงที่ว่ากิเลสกับเรานี้ต้องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย นั่น กิเลสไม่ตายก็เราตายเท่านั้น เวลาเห็นโทษกันถึงขนาดนั้นแล้ว เห็นคุณของธรรมถึงขนาดนั้นแล้วก็มีอยู่สองเท่านั้น จะให้อยู่ด้วยกันครองจิตนครด้วยกันทั้งกิเลสทั้งธรรมนี้ไม่ได้

เอ้า ถ้ากิเลสเหนือเราก็ให้กิเลสครองจิตนครนี้เราก็บรรลัยไปเสีย ถ้าเราเก่งกิเลสนี้ต้องพังเราจะเป็นผู้ครองจิตนคร ให้ธรรมครองจิตนคร มีสองเท่านั้น นี่ละที่ว่าเด็ดนะ ว่าเด็ดว่าเฉียบขาด เด็ดยิ่งกว่าเด็ดเข้าไปอีก คำว่ากิเลสนี้จะยังเหลืออยู่ภายในใจไม่ได้ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ ว่าอย่างนี้เลย กิเลสต้องพัง ไม่วันใดวันหนึ่งต้องพังแน่ ๆ ธรรมจะขยับเข้าเรื่อย ๆ ก็ยิ่งเห็นชัดเจนกิเลสตัวไหนขาดออกไปด้วยสติปัญญา ด้วยอุบายใด ๆ มันรู้ ๆ ไปโดยลำดับ ตัดนั้นขาดเข้ามา อันนี้ขาดเข้ามา ๆ ขาดเข้ามาเรื่อยมันเห็นชัด ๆ ด้วยใจนี่นา เช่น อย่างธาตุอย่างขันธ์ มันยึดธาตุถือธาตุถือรูปถือกายนี้ เวลาพังเข้าไปด้วยอุบายต่าง ๆ ตั้งแต่อสุภะอสุภังลงไปถึง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แตกกระจายไปหมดรอบด้านไปหมดแล้ว คำว่าอุปาทานความหลงในกายก็หมดให้เห็นชัด ๆ นี่ มันรู้ชัด ๆ ภายในใจ ไม่มีใครบอกก็ตาม หากบอกขึ้นกับตัวเองเป็น สนฺทิฏฺฐิโก ๆ จนกระทั่งหมด ความหลงกายความยึดมั่นถือมั่นในกาย อุปาทานในกายหมด ๆ รู้ ๆ หมดเข้าไปเป็นขั้น ๆ

กิเลสตัวสำคัญนี่ละ ตัวอยู่ในร่างกายนี่ตัวสำคัญมากทีเดียว กำลังก็มาก บีบบังคับเราก็หนัก ทุกข์ก็มาก พอตัวนี้พังลงไปแล้วก็มีแต่ส่วนละเอียดลงไปเป็นนามธรรม เรื่องสังขาร วิญญาณ ยิบแย็บ ๆ มันจะยิบแย็บขนาดไหนก็ตามเถอะ ลงสติปัญญาได้หยั่งเข้าไปจ่อเข้าไปแล้วยังไงก็ไม่ถอย เอาจนรู้ ไม่มีอะไรเหนือสติปัญญาไปได้ กิเลสตัวใดไม่แหลมคมยิ่งกว่าสติปัญญา เมื่อถึงขั้นสติปัญญาแหลมคม ๆ ขนาดนั้น อย่าเข้าใจว่าคนเรานี้จะโง่อยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาฉลาดฉลาดจริง ๆ หากพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงในตัวเองนั่นแหละ โดยไม่ต้องว่าจะต้องทำอย่างนั้นจะต้องทำอย่างนี้ มักหากเป็นในหลักธรรมชาติของจิตที่มีความรอบคอบหรือคล่องแคล่วในตัวเองนั้น ละเพราะเป็นอัตโนมัตินี่ ทีนี้อะไรขาดลงไป ๆ ก็รู้นี่ ..

... " แม้แต่สัญญา สังขาร วิญญาณ พวกเวทนานี้ขาดออกไปยังเหลือแต่จิตล้วน ๆ ก็รู้ เวทนาก็มีแต่จิตเวทนาอันละเอียด ๆ ก็เป็นคู่กันกับพวกสัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเกิดมาจากใจอันเดียวกัน ก็เป็นขันธ์เป็นอันหนึ่งต่างหาก มันเป็นเหมือนกาฝากนี่ ถ้าเราหลงมันก็ดูดซึมเอาจิตแหลกไปเหมือนกัน เหมือนกับกาฝากที่อยู่ตามกิ่งไม้ มันเกิดขึ้นมามันเป็นกาฝาก เป็นกิ่งเป็นก้านเป็นต้นเป็นลำของมัน เป็นดอกเป็นใบของมัน แต่มันอาศัยอาหารของกิ่งไม้นั้นเลี้ยงลำต้นของมัน ต้นไม้ต้นไหนมีกาฝากมาก ๆ แล้วไม่นานก็ตาย ไอ้นี่กิเลสมาก ๆ เหยียบลงมันก็แหลกซิ เหล่านี้อาการทั้งห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นกาฝาก สติปัญญาหยั่งทราบหมดแล้วตัดกันขาดลงไป นอกจากนั้นก็ยังมีเหลือแต่เชื้อที่ฝังอยู่ภายในจิตอย่างลึกลับ อย่างละเอียดลออมาก แต่ก็ไม่เหนือสติปัญญาอันเกรียงไกรนี้ไปได้ หมุนเข้าไปจนได้เอาจนพัง

นี่ซิที่พูดถึงเรื่องความเจ็บแสบกับกิเลส ที่เป็นเหมือนกับว่าเป็นคู่กรรมคู่เวรคู่เคียดคู่แค้นกันจริง ๆ มันถึงใจจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา เพราะมันทำความทุกข์ความทรมานให้เราตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ทราบได้ชัด ในชาติปัจจุบันนี้เวลามันบีบบังคับเรานี้เอาต่อหน้าต่อตาเลย มันทำไมจะไม่เข็ดเมื่อถึงขั้นที่ควรจะเข็ดมันเข็ด สติปัญญามีหยั่งทราบกันลงไป ๆ สิ่งที่ควรเข็ดต้องเข็ด นี้กล้าพูดว่ากิเลสกับเรานี้เป็นอย่างนั้น ว่าอย่างนั้นเลย เมื่อถึงขั้นมันเป็นกิเลสกับหัวใจเรานี้จะให้ครองกันอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ว่า งั้น ๑) กิเลสต้องพัง ๒) เราต้องพัง คือ ๑) กิเลสต้องตาย ๒) เราต้องตาย มีสองอย่างเท่านี้ จะให้อยู่ด้วยกันทั้งสองนี้ไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามเราจะเอาให้กิเลสพังให้ได้นี่ไม่มีถอย จนกระทั่งหมดลมหายใจขาดดิ้นนั้นแหละสุดวิสัย เอ้า มันจะครองก็ให้มันครองไป ถ้าลมหายใจยังมีอยู่แล้วยังไงมันก็จะต้องพัง เราจะต้องเป็นผู้ครองจิตดวงนี้ ธรรมนั้นแหละคำว่าเราก็ดี มีเท่านั้นว่างั้น นี่ซิเมื่อถึงขั้นนั้นแล้วจะอ่อนข้อย่อหย่อนได้ยังไง อะไรก็เป็นเหมือนไฟได้เชื้อไปหมด เผาไปเลย ๆ กิเลสตัวไหนจะมาเก่งเหนือธรรม สุดท้ายมันก็พังทลายลงไปหมด

หาที่ไหนของวิเศษ ที่ไม่วิเศษก็คือกิเลสมันเป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถ มันไปพอกอยู่บนหัวใจ ใจจึงเป็นใจที่ต่ำช้าเลวทรามไปเสียหาคุณค่าไม่ได้ ก็เพราะกิเลสนั้นเองตัวหาคุณค่าไม่ได้ไปครอบอยู่นั้น เมื่อพังสิ่งนี้ออกไปเสียหมดไม่มีเหลือแล้ว ไม่ต้องบอกแหละของวิเศษอยู่ที่ไหน หาอะไร อะไรวิเศษในโลกนี้ ดินก็เป็นดิน น้ำก็เป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ อากาศเป็นอากาศ วิเศษวิโสอะไร มันเคยมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่เห็นใครว่ามันวิเศษวิโส ไม่มีใครได้ความวิเศษวิโสจากมัน แน่ะ มันก็รู้ได้ชัด ๆ

เมื่อจิตกับ ธรรมเข้าสัมผัสกันไม่ต้องว่าความวิเศษวิโสเป็นยังไงมันรู้ ๆ ๆ สิ่งเหล่านั้นวิเศษวิโสยังไงมันก็รู้นี่ อันนี้วิเศษวิโสยังไงรู้ในหัวใจเจ้าของ นี่ที่ว่าผู้เห็นคุณเห็นยังงั้น เห็นประจักษ์ใจ ๆ เห็นอย่างถึงใจ ๆ เห็นโทษของกิเลสก็ถึงใจ ๆ ทำไมจะไม่มีกำลังใจต่อสู้กับมัน เมื่อความเห็นโทษก็เห็นถึงใจ ความเห็นคุณของธรรมก็เห็นถึงใจ กำลังทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นเครื่องหนุนให้มีกำลังมากขึ้นก็พุ่ง ๆ ๆ

นี่ ซินำมาสอนหมู่สอนเพื่อน สอนด้วยจิตด้วยใจจริง ๆ ถอดหัวใจออกมาสอน ลากเอามาหมดจนไม่มีอะไรเหลือเลย เมื่อเห็นอะไรแสลงหูแสลงตามันถึงสะเทือนมากนะ เพราะไม่ได้สอนเล่น ๆ นี่นะ เราพูดตรง ๆ ด้วยนะว่าไม่ได้สอนแบบด้นเดาด้วย สอนตามความมีความเป็นที่ปรากฏขึ้นมา ทั้งภาคปฏิบัติทั้งผลที่ปรากฏขึ้นมามากน้อยเพียงไร นำเอามาสอนทั้งสองเงื่อน ทั้งเงื่อนเหตุและเงื่อนผล อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มกำลังความสามารถของตนจนไม่มีอะไรจะสอน สอนหมู่สอนเพื่อน ไม่ได้มีในความรู้สึกว่าได้ด้นได้เดามาสอนหมู่เพื่อนนี่นะ ถอดออกมานี่น่ะ ๆ เหมือนอย่างนั้น จะว่าท้าทายก็ได้ธรรมทั้งหลายนี่ เอหิปสฺสิโก ๆ ประกาศอยู่ในหัวใจนี้เหมือนกับว่าท้าทาย ดูซิ ๆ นี่น่ะ ๆ ว่างั้น เมื่อเวลาถึงขั้นธรรมของจริงเจ้าของก็ได้เห็นอย่างชัดเจน สามารถประกาศให้โลกทั้งหลายให้รู้กันได้อย่างพระพุทธเจ้าของเรานั่น

ถ้า ว่าเคียดว่าแค้นก็เคียดแค้นถึงขนาดนั้นละกับกิเลส เพราะได้รับความทุกข์ทรมานจากมันมาก มันเต็มอยู่ในหัวใจประจักษ์หัวใจ จนถึงขนาดว่าจะครองหัวใจนี้ทั้งสองเจ้าของอีกต่อไปไม่ได้ ๑) กิเลสต้องพัง ๒) เราต้องพัง แต่ในขณะเดียวกันยังไงก็จะเอากิเลสให้พังในวันใดเวลาหนึ่งจนได้ไม่ถอย แล้วมันจะหนีความสามารถไปได้ยังไงเมื่อกำลังใจถึงขนาดนั้นแล้ว มันต้องพังจนได้แหละ ที่นี่เอ้ามันไปอยู่ในหัวใจใด สมมุติว่ามันอยู่ในหัวใจนี้ไม่ได้แล้ว มันพังหมดแล้วนี่ มันอยู่ในหัวใจใด แสดงออกมากิริยาท่าทางใดทำไมจะไม่รู้ กิเลสมันประเภทเดียวกันนี่ แสดงออกมาด้วยกลมายาใดก็รู้ แสดงออกมาอย่างเปิดเผยก็รู้ แสดงออกมาอย่างลี้ลับ แสดงออกมาอย่างแบบกลมายามันก็รู้หมดเพราะมันไม่เหนือธรรม ธรรมเหนือมันอยู่แล้วทำไมจะไม่เห็นทำไมจะไม่รู้นอกจากไม่พูดเท่านั้น ...เอาละพูดเท่านั้นละ "

พูดท้ายเทศน์

" ไม่มีอะไรยากยิ่งกว่าการฆ่ากิเลสการถอดถอนกิเลส งานในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีงานใดยิ่งกว่างานการต่อสู้ การฆ่า การถอดถอนกิเลส ต้องได้ทุ่มหมดทุกอย่างเลย ฉะนั้นชีวิตจิตใจจึงมอบกันลงไปเลยทีเดียวเสียดายอยู่ไม่ได้ นั่น ถึงวาระที่จะมอบ-มอบลงเลยทุ่มลงเลย สติปัญญามีเท่าไรทุ่มลงเลยจะสงวนไว้ไม่ได้ งานอย่างอื่นเราไม่เป็นอย่างนั้น เสร็จก็เสร็จ ไม่เสร็จก็ไม่เสร็จ แต่งานนี้ถึงวาระแล้วมอบหมดเลยไม่มีคำว่าอาลัยเสียดาย เราทำเราทำอย่างที่พูดนี่ด้วยนะ เราไม่ได้ทำอะไรเหลาะ ๆ แหละ ๆ เพ่น ๆ พ่าน ๆ เราไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้นเวลามาเห็นหมู่เพื่อนเพ่น ๆ พ่าน ๆ เหลาะ ๆ แหละ ๆ นี้มันถึงขวางตาแทงใจ ไม่อยากพบอยากเห็น มันขัดกันจริง ๆ

เราถือ เรื่องความเพียรนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมากทีเดียว มองเห็นพระก็อยากเห็นพระที่มีความเพียร เราไม่อยากเห็นพระเด้น ๆ ด้าน ๆ สิ้นท่าให้กิเลสเหยียบหัวอยู่ตลอดเวลา เราไม่อยากพบอยากเห็น เพราะกิเลสมันเหยียบหัวคนอยู่แล้ว เหยียบหัวพระอยู่แล้ว เราอยากเห็นวิธีต่อสู้ อยากเห็นการต่อสู้ของพระ เพื่อจะลากคอกิเลสที่อยู่บนหัวลงมาเหยียบให้แหลกแตกกระจายไม่มีอะไรเหลือเลย ให้เหลือแต่วิมุตติธรรมเต็มหัวใจ นั่นเราอยากพบอยากเห็นอย่างนั้น เพราะอันนี้วิเศษสุดนี่

ลองกิเลสม้วนเสื่อลงจากหัวใจเท่านั้นไม่มี อะไรกวนใจ แน่ะ เมื่อประมวลลงมาแล้วทั้งหมด ทุกข์มากทุกข์น้อยตั้งแต่มหันตทุกข์มาจนกระทั่งถึงทุกข์อย่างละเอียด มันก็เรื่องกิเลสทั้งนั้นพาให้ทุกข์ แน่ะ มันไม่มีอะไรที่จะตำหนิตัวจริงมันเลย ก็คือกิเลสเท่านั้น พออันนี้ได้ม้วนเสื่อลงไปแล้วไม่มีอะไรนี่ แม้แต่ธาตุขันธ์จะแตกของมันด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ทราบกันอยู่ตามความจริง ของมัน ไม่ได้มีความกระทบกระเทือน ไม่มีความเจ็บปวดแสบร้อนภายในจิตใจเลย ต่างอันต่างจริง นั่นเห็นชัด ๆ อย่างนั้นนะ มันจะทุกข์มากขนาดไหนจะทนได้ก็ทนของมัน ทนไม่ได้ก็ไปของมัน

นี่ได้ พูดเป็นข้อเปรียบเทียบ เหมือนกับไฟไหม้กอไผ่ ไฟจ่อเข้าไปส่งเปลวจรดเมฆโน่น เสียงระเบิดปึงปัง ๆ เหมือนฟ้าถล่ม ในขณะที่มันแสดงเต็มที่ทั้งฟืนทั้งเปลวไฟทั้งเสียงของไฟนั้น มันเหมือนกับว่าต่างอันต่างมีวิญญาณ เหมือนกับว่าฟืนก็มีวิญญาณ ไฟก็มีวิญญาณ เปลวก็มีวิญญาณ ความที่มันระเบิดตูมตาม ๆ ก็เหมือนมีวิญญาณ พิจารณารอบตามความจริงแล้วมันไม่มีอะไรเลย แน่ะ ฟืนก็ไม่รู้ความหมายของตัวเองและไม่รู้ความหมายของไฟ ไฟเองก็ไม่รู้ความหมายของตัวเองและไม่รู้ความหมายของฟืน เปลวส่งจรดเมฆก็ไม่รู้ความหมายของตัวเอง เสียงระเบิดตูมตาม ๆ ก็ไม่รู้ความหมายของตัวเอง ก็คือเราที่ยืนดูอยู่นี้เป็นผู้รู้ความหมายทุกอย่าง สิ่งเหล่านั้นเขาไม่รู้

อัน นี้ก็เหมือนกัน เวลาทุกขเวทนาบีบบังคับกาย เช่น เจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ อย่างนี้ มันทำให้ดีดให้ดิ้นให้อะไรต่ออะไร มันก็เหมือนกับไฟไหม้กอไผ่นั้นแหละ มันงอมันหงิกมันกระเด็นตกปึงปัง ๆ เหมือนมีวิญญาณ อันนี้ร่างกายมันก็หงิกก็งอกวัดแกว่งก็เพราะทุกขเวทนา นั่นมันเป็นเหมือนไฟเผา อันนี้เป็นได้ พระอรหันต์เราก็แน่ใจว่าเป็นได้เหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องส่วนธาตุขันธ์ คือมันจะแสดงความหงิกความงอ ความกระตุกกระติกไปในแง่ต่าง ๆ เป็นได้เหมือนกันเพราะเรื่องของขันธ์ ขันธ์ของโลกเป็นได้ ขันธ์ของพระอรหันต์ท่านก็เป็นได้ อันใดที่อยู่ในวิสัยของท่านที่จะบังคับได้ท่านก็บังคับ อันไหนไม่ใช่วิสัยของท่านที่จะบังคับ ก็เป็นไปตามเรื่องของขันธ์ล้วน ๆ มันก็ต้องแสดงได้ อันนี้เราไม่ค้าน แต่สำคัญจิตนี่ซิที่เป็นหลักธรรมชาติของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่อยู่ในขันธ์อันเป็นตัวสมมุติ แต่จิตนี้ก็เป็นวิมุตติแล้วนี่มันเข้ากันได้ยังไง มาประสานกันได้ยังไง มาทำใจให้กระทบกระเทือนได้ยังไง กระเทือนไม่ได้ว่างั้นเลย "


..." นี่ถึงกล้าพูดว่าพระอรหันต์ไม่มีเวทนาทั้งสาม คือ สุข-ทุกข์-เฉย ๆ ภายในจิต จะเอาเวทนามาจากไหน เวทนาก็เป็นสมมุตินี่ สุขเวทนาก็ตาม ทุกขเวทนาก็ตาม อุเบกขาเวทนาก็ตาม เป็นสมมุติทั้งมวล เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ด้วยกันทั้งนั้น จิตวิมุตติเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เมื่อไร ความจริงก็เป็นอย่างนั้น รู้กันอยู่อย่างนั้น จะทำอะไรให้ท่านกระทบกระเทือนเพราะเป็นหลักธรรมชาติตายตัวแล้ว จะเรียกว่า อกุปฺป ก็เรียกได้แล้วเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ หาความกำเริบไม่ได้

อย่าง พ่อแม่ครูบาอาจารย์ว่าดังที่เขียนไว้ในประวัติ ฯ พระอรหันต์บางองค์ท่านยืนนิพพานบ้าง เดินนิพพานบ้าง นั่งนิพพานบ้าง แล้วนอนนิพพานบ้าง ตามอัธยาศัยความถนัดของท่านในวาระสุดท้ายที่ท่านจะแสดงยังไงท่านก็แสดงได้ ตามต้องการของท่าน เพราะจิตของท่านอยู่เหนืออันนี้แล้ว เวทนาไม่ได้ไปเหยียบย่ำทำลายจิตใจของท่านได้ ทำไมท่านจะแสดงไม่ได้ตามอัธยาศัยของท่าน ท่านว่าส่วนมากนอนนิพพาน นั่งนิพพานก็จำนวนน้อยแต่ยังมากกว่าท่ายืน ท่าเดินนิพพานมีน้อยมากหากปรากฏ ท่านเองท่านก็ไม่เห็นค้าน ท่านไม่เห็นค้านในความเป็นของท่านว่าไม่ถูก

ทำไม พระอรหันต์จะนิพพานอย่างนั้นได้ แน่ะ ท่านไม่เห็นค้านนี่ ท่านก็เล่าตามความจริงที่ท่านรู้ท่านเห็น ถ้าหากไม่จริงท่านก็ค้านของท่านเองซิ เพราะท่านเป็นผู้รู้ผู้เห็นเอง นี่ท่านก็ไม่ค้าน ท่านก็เล่าตามความจริงของท่านให้ฟัง ไอ้เราเองก็หาที่ค้านไม่ได้เหมือนกัน จึงยอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ท่านจะตายในท่าใดเรื่องใด อุบัติเหตุเป็นต้นอย่างนี้ก็ตายซิเรื่องของขันธ์ มันเรื่องของขันธ์ล้วน ๆ นี่ จะตายท่าไหนแบบไหนก็เป็นเรื่องของขันธ์ล้วน ๆ ไม่ใช่เรื่องของจิตวิมุตติ-จิตวิมุตติไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกันนี่ มีปัญหาอะไรกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ซึ่งแตกตายไปด้วยวิธีการต่าง ๆ ด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ มันก็เรื่องของธาตุของขันธ์ทั้งนั้น

ธรรมที่พูด อยู่ทั้งหมดนี้ก็กังวานอยู่ในหัวใจนั่น ทำไมจึงจะคุ้ยเขี่ยแต่กิเลสมาโปะเอา ๆ จนมืดมิดปิดตาหาทางออกไม่ได้ ออกไปแต่สิ่งที่มองดูไม่ได้นั่นน่ะ เรื่องกิเลสพาให้ออกไม่ใช่เรื่องธรรมพาให้ออกอย่างนั้น นี่ซิเราสลดสังเวชเพราะเหตุนี้เอง สลดสังเวชกับหมู่กับเพื่อน สิ่งที่นำมาสอนก็สอนอยู่โต้ง ๆ ฟังอย่างถึงใจ ถ้าจะให้ถึงใจมันก็ถึง เพราะผู้เทศน์เทศน์ด้วยความถึงใจนี่นะ ไม่ได้เทศน์แบบเหลาะ ๆ แหละ ๆ กับหมู่กับเพื่อน เทศน์ด้วยความจริงเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มอรรถเต็มธรรมเต็มหัวใจเจ้าของ นี่หาผู้ที่จะเข้าอกเข้าใจนิดหนึ่งไม่มี ไอ้เรื่องความเข้าใจมีแต่เรื่องเทวทัตทำลายศาสนา ทำลายตัวเอง นั่นซิมันน่าสลดสังเวช เรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่ปรากฏ ....

เอาละเลิกกันละเหนื่อยแล้ว "

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

อ้ายหมดห่วงแล้ว - เมื่อหลวงตามหาบัวสอนน้องสาว (คุณแม่จันดี) ภาวนา



อ้ายหมดห่วงแล้ว - เมื่อหลวงตามหาบัวสอนน้องสาว (คุณแม่จันดี) ภาวนา

ซาบซึ้งในคุณครูบาอาจารย์
ทราบว่าท่านให้คำแนะนำ เรื่องการปฏิบัติภาวนาได้ถูกต้องแม่นยำ ไม่ผิดเพี้ยน จากหลักความจริง ตามธรรมคำสอนของพระหลวงตามหาบัวทุกอย่าง

ท่านจะพูดเสมอว่า “พระหลวงตาสอนให้แม่ปฏิบัติมาอย่างนี้ ถ้าเป็นคำพูดของพระหลวงตาแล้ว ยิ่งการปฏิบัติภาวนาจะคลาดเคลื่อนไปไม่ได้เลย…”

ท่านบอกสมัยก่อนปฏิบัติอยู่ที่บ้านเวลามีปัญหาติดขัดด้านการภาวนา ก็อาศัยกราบเรียนพระหลวงตาตอนไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ขณะคุณแม่ใส่บาตร พระหลวงตาจะเมตตาถาม “ภาวนาเป็นยังไง” คุณแม่จึงกราบเรียนพระหลวงตา ท่านก็จะแนะนำอย่างต่อเนื่อง ช่วยแก้ปัญหาการปฏิบัติภาวนาให้ท่านตลอด

คุณแม่จันดี เล่าว่า “การปฏิบัติภาวนาถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะสอนจะช้าได้
เพราะช่วงปฏิบัติภาวนา เรารู้เห็นอะไร มันก็ชวนให้หลงให้ติด เพราะเป็นความอัศจรรย์ ที่เราเกิดมาไม่เคยพบ – เห็นเลยในชีวิต และไม่มีแสดงอยู่ที่ไหนในโลกนอกจากผู้ภาวนา แต่ละรายจะรู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตัวเอง รู้ขึ้นในใจของตัวเอง
เป็นสันทิฏฐิโกประกาศป้างขึ้นที่หัวใจ ไม่ต้องถามใคร…ไม่ต้องให้ใครมาโกหกเราได้ พิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ลี้ลับ ไม่ปิดบัง เปิดเผยเสมอ มีอยู่ตลอดกาล…ธรรมความจริง ธรรมไม่ตาย เปิดเผยสง่างาม อยู่ทุกกาล ทุกสมัยตลอดมา และตลอดไป…เป็นแต่ ผู้คนจะมีจิตยินดี และต้องการหรือไม่”

ได้ยินคุณแม่ท่านเล่า จำได้เป็นข้อความบางตอน ที่อยากสื่อธรรม เพื่อเป็นบารมีธรรมของผู้นำเสนอสื่อธรรมเข้าสู่ใจ ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”

คุณแม่จันดี ตอบ
“แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”

ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า “จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน(พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า(คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์

หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพ – เทวดา”

คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”

พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่(คุณยาย)ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว

ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุก ๆ เรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม – ปฏิบัติตาม
ท่าน (ถ้าว่าอาหารท่านก็ปรุงไว้ให้เสร็จแล้ว เราลูกศิษย์ ตั้งใจกินอย่างเดียว
อิ่มแล้วจะรู้เอง…)

คุณแม่จันดี ท่านเมตตาเล่า การปฏิบัติของท่านที่ยากลำบาก แม้จะไม่ได้ขึ้นภูเขา เข้าป่า แต่ธรรมที่ท่านได้มา ก็แลกด้วยชีวิต

ความตอนหนึ่งที่ประกาศขึ้นในจิตท่านว่า“ให้เอาชีวิตแลกธรรม” ตอนนั้นพระหลวงตาก็บอกให้ท่านเร่ง “มึงอย่าเสียดายชีวิตนะ เร่งเลย ๆ ผ่านไปอีกระยะหนึ่งพระหลวงตาเข้ามาฝ่ายผู้หญิง ถามท่านว่า “เป็นยังไงจิต” คุณแม่บอกอยากกราบเรียนท่านตามจิตเป็นอยู่ แต่รั้งไว้ไม่พูดหมด ตอบเพียงว่า “จิตช่วงนี้ไม่กลัวตายจิตกล้ามาก สภาวธรรมความเกิด – ดับเร็วมากเหมือนฟ้าแลบ” พระหลวงตาร้องขึ้นเสียงดัง “โอ้จิตถึงขนาดนี้แล้ว เร่งเลย ๆ ๆ ๆ ไม่นาน อีกไม่นาน (ท่านย้ำ) เร่งเลย ๆ ๆ ๆ”

ต่อมาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2535 ในคืนนั้นฟ้าครึ้ม ลมแรง คุณแม่จันดีเป็นห่วงพี่สาว (คุณยายตัน) ท่านเดินไปดูพี่สาวที่แคร่ และปิดผ้าม่านให้เพราะลมแรง กลัวว่าฝนตกจะเปียก(พี่สาวที่ภาวนาอยู่) จึงกลับมาที่กุฏิ ท่านกราบพระนั่งภาวนา ท่านบอกจิตท่านแปลก ๆ นั่งถึงเวลา 5 ทุ่ม (รู้ขึ้นในจิต)

“เกิดสภาวะโลกธาตุหวั่นไหว ก้นท่านลอยขึ้นจากพื้นสูงประมาณ 1 ศอก ทุก ๆ อย่าง เกิดขึ้น พร้อม ๆ กัน เสียงประกาศก้องขึ้นในจิต ขณะนั้นว่า อายะตะนะ นั้นมีอยู่ แต่ไม่มี ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีจุติเคลื่อน ไม่มีที่ไป ไม่มีที่มา ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์นั้นแหละ คือที่สุด แห่งทุกข์ ขณะเดียวกัน อวิชชาได้กระเด็นขาดออกจากจิต ทุก ๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ไม่มีก่อน ไม่มีหลัง

ท่านบอก
“แต่เวลาพูดจำเป็นต้องเรียบเรียงเรื่องให้คนฟังเข้าใจ ไม่รู้จะอธิบายยังไง เพราะไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบกับสิ่งที่มีอยู่ในโลก เพราะเป็นของเหนือโลก”…

คืนนั้น ท่านกราบนอบน้อมถึงคุณพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ถึงคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ท่านบอกในขณะจิตนั้นพระอรหันต์ทุก ๆ ๆ องค์ ได้มาช่วยหนุนจิตโดยเฉพาะพระหลวงตาทั้งเป็นครูอาจารย์ เป็นพ่อ เป็นพี่ชายในสายโลหิต(เลือด) เดียวกันในชาติปัจจุบัน คืนนั้นท่านไม่นอนทั้งคืน…

พบพระหลวงตาอีกครั้ง กราบเรียนท่านถึงสภาวธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น…พอจบ”
พระหลวงตาพูดขึ้น “อ้ายหมดห่วงแล้ว”(พี่หมดห่วงน้องแล้ว)…

ภาพต่าง ๆ 2





ภาพต่าง ๆ 1





ภาพต่าง ๆ





จากข่าวสื่อต่าง ๆ เรื่อง....เก็บอัฐิธาตุหลวงตามหาบัว






อัศจรรย์อัฐิธาตุหลวงตามหาบัวลอยฟุ้งรอบจิตกาธาน ประชาชนรุมเก็บนำไปบูชา ด้านที่ประชุมสงฆ์วัดป่าบ้านตาดตั้งพระอาจารย์สุดใจ เป็นเจ้าอาวาส

เมื่อเวลา 06.00 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีเสด็จทรงบาตร ภายในวัดเกษรศีลคุณ หรือวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ก่อนจะเสด็จกลับพระตำหนักในเขตวัด รวมทั้งได้มีพิธีพระราชทานผ้าไตรและ อัฐบริขาร พร้อมเครื่องอาหารคาว หวาน 3 หาบได้มอบให้พระอุดมญาณโมลี หลวงปู่จันศรี จันทะทีโป รองสมเด็จพระราชาคณะเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ สมภรณ์ จ.อุดรฯ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 8 เป็นประธานในพิธี ซึ่งหลังจากพิธีเวียน 3 หาบเสร็จก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีพระราชทานเพลิงสรีระสังขาร พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ทั้งนี้ สมเด็จพระวันรัต รักษาการเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุตได้เป็นประธานในพิธีอ่านประกาศแต่งตั้งพระ อาจารย์สุดใจ ทันตมโน รักษาเจ้าอาวาสวัดเกสรศีลคุณ หรือวัดป่าบ้านตาด เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด สืบต่อหลวงตาพระมหาบัว ท่ามกลางที่ประชุมคณะสงฆ์วัดป่าบ้านตาด

เมื่อเวลา 07.30 น.สมเด็จพระวรรณรัต รักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เป็นประธานในที่ประชุมสงฆ์วัดป่าบ้านตาด อ่านประกาศแต่งตั้ง พระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด อายุ 67 ปี 38 พรรษา เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด สืบต่อจากหลวงตามหาบัว ก่อนที่ทางผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนา ประจำจังหวัดอุดรธานี นำคำสั่งดังกล่าวติดประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

คณะสงฆ์เก็บอัฐิธาตุหลวงตามหาบัวตั้งแต่3.00น.

พระอาจารย์ อินถวาย เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี ว่า ในการจัดเก็บอัฐิหลวงตามมหาบัว คณะสงฆ์ได้มีการจัดเก็บตั้งแต่เวลา 03.00 น. โดยรางสเตนเลสที่จัดเก็บนั้นจะมีฝาครอบล็อกกุญแจ 8 ตัว กุญแจ 8 ดอก รักษาไว้ที่พระศิษยานุศิษย์ 8 รูป ซึ่งระหว่างการจัดเก็บมีการถ่ายวีดีโอบันทึกตลอดเวลา ซึ่งนำไปเก็บรักษาไว้ที่กุฎิของหลวงพระมหาบัว

ทั้งนี้ได้เรียนต่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯแล้วว่า เนื่องจากหลวงตาเป็นพระผู้ใหญ่ลูกศิษย์มากหากนำอัฐิออกมาในช่วงเช้าเช้าจะ เกิดปัญหาได้ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ทรงรับทราบแล้ว ซึ่งมติที่ประชุมได้ให้แบ่งอัฐิธาตุออกเป็น 3ชุด โดยในวันที่ 11 มี.ค. จะมีการประชุมคณะศิษยานุศิษย์พระผู้ใหญ่อีกครั้งเพื่อพิจารณาแยกอัฐิของหลวง เพื่อแบ่งเป็น 3 ชุด เพื่อนำไปบรรจุไว้ในเจดีย์ที่คณะศิษย์จะสร้างขึ้นในอนาคต เพื่อแจกแขกสำคัญและ เพื่อแจกให้กับวัดสาขาของวัดป่าบ้านตาด

พระอาจารย์อินถวาย กล่าวด้วยว่าสำหรับ จิตกาธาน (เมรุชั่วคราว) นั้นทางวัดจะนำตะแกรงเหล็กไปครอบไว้ทั้ง 4 ด้าน เพื่อป้องกันคนเข้าไป และรอจนกว่าจะมีการออกแบบก่อสร้างเจดีย์และพิพิธภัณฑ์เสร็จสิ้น ซึ่งจะสร้างในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนได้มาสักการะต่อไป

อัศจรรย์อัฐิธาตุลอยทั่วบริเวณจิตกาธาน

ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 06.00 น.ที่ผ่านมา ประชาชนที่เดินทางไปร่วมในพิธีพระราชทานเพลิงสรีระสังขารหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ต่างรุมกันเก็บ อัฐิธาตุของหลวงตามหาบัว ซึ่งลอยออกมาจากจิตกาธาน ทั้งนี้ อัฐิธาตุ ดังกล่าวประชาชนเชื่อว่า เป็นการเอื้อเฟื้อของหลวงตามหาบัว ให้กับญาติโยมที่เดินทางมาร่วมในพิธีพระราชทานเพลิงศพ แต่ไม่สามารถเข้าถึงเมรุได้

น.ส.ทักษิณา อินแบ 35 ปี ชาวจ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า หลังมีการพระราชทานเพลิงศพเมื่อวานนี้ช่วงเวลาประมาณ ตีสาม ขณะที่ประชาชนซึ่งเดินทางมาร่วมงานนั่งสมาธิ เพื่อถวายแก่หลวงตามหาบัว ปรากฏว่าได้เสียงปะทุจากจิตกาธาน และเกิดอัฐิธาตุลอยปลิวละล่องไปทั่วบริเวณ ทำให้ประชาชน ต่างรุมล้อมเพื่อเก็บสิ่งดังกล่าว บางรายสามารถเก็บได้จำนวนมาก สำหรับเถ้าถ่านหรือธาตุ มีลักษณะเป็นเกร็ดก้อน มีทั้ง สีดำ เหลือง น้ำตาล

นางบุษบง เสมอ่วม อายุ 59 ปี กทม. กล่าวว่า อัฐิธาตุที่เก็บได้มีลักษณะเป็นเม็ดคล้ายพริกไทย มีสีน้ำตาลและสีขาวขุ่น ซึ่งจะเก็บเอาไปบูชาที่บ้านต่อไป

ภาพพิธีการเก็บอัฐิหลวงตามหาบัว โดย ณัฎฐ์ฐิติ อำไพวรรณ